ทะเลทราย ที่มุยเน่
ไซ่ง่อน แสงไฟบนท้องถนน และจากอาคารแคบแต่สูง เปล่งประกายระยิบเจิดจ้าในห้วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดสนิทเป็นสีดำ ผมและเพื่อนใหม่ต่างวัฒนธรรมต่างภาษา แต่เป็นชาวท้องถิ่น เร่งฝีเท้าเพื่อก้าวข้ามถนนท่ามกลางการจราจรวุ่นวาย เบื้องหน้าของเราขณะนี้ คือ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองไซ่ง่อน ตลอดจนชาวต่างชาติตะวันตกเป็นเวลามากว่า 131 ปี
เมือง ไซ่ง่อน เป็นคำที่ชาวเวียตนามตอนใต้ใช้กล่าวขานกันมานมนาน ถึงแม้การรวมประเทศเวียตนามเหนือ กับ เวียตนามใต้ เป็นผลสำเร็จแล้วโดยปฏิภาณความสามารถของท่านโฮจิมินห์ แต่หากเป็นชาวเวียตนามตอนเหนือแล้ว พวกเขาจะเรียกชื่อเมืองนี้ว่า เมืองโฮจิมินห์ เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่วีรบุรุษของพวกเขา และเป็นชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ในช่วงเวลานั้น
ส่วนที่มาของชื่อเมือง ไซ่ง่อน ตามภาษาเวียตนามนั้นแปลว่า นุ่น นุ่นที่ใช้ยัดหมอนนี่แหละ ในสมัยก่อนคงมีต้นนุ่นเยอะ แต่ปัจจุบันนั้นมากมายด้วยตึกรามใหญ่โต สิ่งปลูกสร้างมากมาย ความทันสมัยหลากหลาย ทั้งนี้ก็คงเป็นผลพวงมาจากการที่เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศมาก่อนที่จะย้ายสับเปลี่ยนไปอยู่ที่เมืองฮานอย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศในปัจจุบัน
เพื่อนใหม่ชาวเวียตนามของผมเป็นผู้ชาย ชื่อว่า ถุ่ย ชื่อของเขาไม่มีคำแปล รูปร่างหน้าตาดี สูงทะมัดทะแมง ไม่อ้วน เวลาเดินไปไหนมาไหนว่องไว กระฉับกระเฉงเหมือนคนจีน มีภรรยาและลูกน้อยๆ แล้วอย่างละหนึ่งคน คุณถุ่ย ผมชอบเรียกเขาอย่างนั้น เขาเป็นคนเทคแคร์ชอบที่จะพาผมไปเที่ยวตรงโน้นตรงนี้ เราสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงเอเซีย สำหรับคุณคุณถุ่ยแล้วดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับผม...หากไม่จำเป็นแล้วก็จะนิ่งเสียดีกว่า....ทุกวันที่ผมอยู่ในเวียตนาม คุณถุ่ยจะมารับผมแต่เช้าเสมอ....ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ของคุณถุ่ย ล้วนไม่มีอยู่ในตัวผมเลย |
โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral) นอกจากแสงไฟฟ้าโดยรอบ ที่สาดส่องสีเหลืองนวลมายังลานกว้างแล้ว เปลวไฟที่ปลายเทียนยังพริ้วไสวเรียงรายรอบรูปปั้นองค์พระแม่มารียืนสูงใหญ่ในท่าทางสงบเยือกเย็นตั้งเด่นอยู่หน้าโบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral) โบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม ซึ่งในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย โครงสร้างของตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมในสมัยอาณานิคม ส่วนปลายยอดมีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่บน รวมความสูงจากฐานล่างประมาณสูง 40 เมตร ถือเป็นเอกลักษณ์ที่งดงาม |
โบสถ์นอร์ทเธอดามแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโอจิมินห์ บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี และสิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่นี้คือ โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่นๆ เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของชาติตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของเมืองโฮจิมินห์ |
ผมยืนเงยหน้ามองพระแม่มารี แล้วมองถัดไปถึงยอดหอคอยคู่ของโบสถ์นอร์ทเธอดามที่อยู่ด้านหลัง ได้เห็นถึงความสวยงามอันเกิดขึ้นจากความศรัทธาของผู้คนในสมัยนั้น แม้จะเป็นห้วงเวลาวิกฤติกาลแห่งรอยต่อ แต่ความเชื่อถือและพลังศรัทธา ก็ยังสามารถทำให้เกิดสุดยอดผลงานน่าอัศจรรย์ได้ เปรียบประดุจชีวิตประถุชนทุกวันนี้ที่วุ่นวายสับสน แก่งแย่งชิงเด่น พยามเหยียบย่ำทำลายกัน เพียงเพื่อตัวเองและพรรคพวกได้เป็นใหญ่ มุ่งหวังแต่กอบโกยทรัพย์ ยศ ตำแหน่ง กามโลกีย์ มาเป็นของตัว แต่หาได้เกิดจากความสามารถที่ถูกต้องไม่....อนิจจา โบสถ์นอร์ทเธอดาม และพระแม่มารี ทำให้ผมคิดได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ผมฝันได้เสมอ แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลายคนใกล้ชิดเคยบอกว่า ผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ก็คงจะใช่....ตื่นจากภวังค์เสียที คุณถุ่ย ชี้ให้ผมดูสถานที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเคียง นั่นก็คือ ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ |
ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Main Post Office) ตั้งอยู่ ใกล้ๆ กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ถ้าหันหน้าเข้าหาโบสถ์ไปรษณีย์กลางจะอยู่ทางขวามือ ที่แห่งนี้ได้ถูกก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศส และได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงามด้วยกระจกสี และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2444 เป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความยิ่งใหญ่โอ่โถงสวยงาม ถึงกับทำให้นักออกแบบสถาปัตยกรรมมากมาย ต้องมาศึกษามาชมการออกแบบตกแต่งอาคารแห่งนี้ ส่วนภายในตัวอาคารมีการประดับภาพ แผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของท่านโฮจิมินห์ ไว้มากมายหลายภาพ |
ทุกวันนี้ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ยังเปิดให้บริการทั้งการส่งจดหมาย ขายแสตมป์เพื่อการสะสม หรือนักท่องเที่ยวจะส่งโปสการ์ด หรือโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ก็สามารถมาใช้บริการได้ในอัตราค่าบริการมาตรฐานทั่วไป แถมมีร้านขายของที่ระลึกอีกด้วย |
น่าไปชมครับ นานทีได้ชมสถานที่เก่าๆ ที่มีประวัติความเป็นมา ได้ยืนนิ่งกวาดตาไปรอบๆ ก็เริ่มเห็นฝรั่งมังค่า แต่งชุดทหารเดินกันขลุกขลักขวักไขว่ เห็นชาวเวียตเดินใส่งหมวกน๊อบลาหลายคน ส่วนสาวๆ ก็ใส่ชุดอ๋าวหญ่ายพริ้วไสว เดินถือซองจดหมายขึ้นลงที่ทำการไปรษณีย์.....และแล้วผมก็ตื่นจากภวังค์เป็นครั้งที่สอง พลันนึกได้ว่า คงต้องมาใหม่ในช่วงกลางวัน เพราะกลางคืนอย่างนี้เขาปิดให้บริการ
คุณถุ่ย และคุณเล็ก (พี่สาวชาวไทย) เดินตามหาหลังจากผมปลีกวิเวกไปถ่ายภาพเสียนาน บรรยากาศในช่วงค่ำตอนนี้ ทำให้ผมเพลิดเพลินกับแสงไฟเหลืองนวล หนุ่มสาวชาวเวียตนามจะใช้เวลานี้ของวันมาพบปะกันในที่สาธารณะทั่วไป บริเวณหน้าโบสถ์นอร์ธเธอดาม และหน้าไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ ก็ถือเป็นที่สาธารณะ ซึ่งมีพื้นที่ด้านหน้าเป็นบริเวณว่าง จึงมีกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวมาจอดมอเตอร์ไซต์คู่ชีพนับร้อยๆ คัน นั่งคุยกัน หญิงสาวเหล่านั้นล้วนผิวขาวบอบบาง ส่วนใหญ่พวกเธอชอบนุ่งกางเกงขาสั้นเหมือนวัยรุ่นสาวบ้านเรา แต่เธอไม่ยักกะชอบแต่งหน้ากันมากนัก |
วิถีชีวิตของวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวเวียตนามดูเรียบง่าย พวกเขาไม่นิยมแต่งรถให้มีรูปร่างหรือเสียงที่ผิดแผกแตกต่างไปจากรูปแบบเดิม คือ ซื้อมาอย่างไงก็ขับกันไปอย่างนั้น นึกแล้วก็คิดถึงวัยรุ่นบ้านเรา ที่มีความสามารถมากกว่าวิศวกร เพราะรถที่ออกมาจากศูนย์ ผ่านการทดสอบมามากมายก่อนการขาย ก็ยังไม่ดีหรือได้มาตรฐานเท่า ต้องมาแต่งเติม ถอดออก จึงจะเรียกได้ว่า นี่คือสุดยอดพาหนะ ที่ผ่านกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ของฉัน...น่าเห็นใจครับ |
จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue) ก่อนกลับสู่ที่พักที่ Chancery Hotel เพื่อนใหม่ชาวเวียตนาม พาผมตะลุยเที่ยวต่อที่ จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue) ซึ่งอยู่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ไม่ไกลจากสองสถานที่ข้างต้นมากนัก จัตุรัสโฮจิมินห์ นี้จะมีรูปปั้นของท่านโฮจิมินห์ นั่งอยู่กับกับเด็กๆ ในบรรยากาศอบอุ่น เบื้องหลังเป็นศาลาว่าการเมือง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามในสไตล์ฝรั่งเศส หากมองจากจุดนี้สามารถมองให้เห็นถึงความจอแจของเมืองใหญ่ เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์กลางของเมืองโฮจิมินห์ และยังเป็นศูนย์กลางของการค้าขายด้วย |
ตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market) พูดถึงการค้าขาย หรือ หากนักท่องเที่ยวที่เป็นนักช๊อปแล้ว จะต้องไปเยือน ตลาดบินถั่น ตั้งอยู่ริมถนนเลเลย (Le Loi) ใกล้ๆ กับจัตุรัสโฮจิมินห์ นี้แหละ ตลาดแห่งนี้ถูกก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 บนพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ด้านหน้ามีหอนาฬิกาเป็นจุดสังเกตุ ตลาดบินถั่นได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งจากชาวเวียตนามและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพราะมีสินค้าจำหน่ายมากมาย ราคาไม่แพง สามารถต่อรองได้ อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง ของที่ระลึก นาฬิกา อาหาร ซึ่งล้วนแต่ราคาไม่แพง อย่าลืมครับหากมาเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ ต้องมาที่ตลาดบินถั่นด้วย แล้วท่านจะได้สินค้ากลับไปแบบคาดไม่ถึง |
เช้านี้ที่คิดได้ แสงแดดอ่อนนุ่มนวลยามเช้าเล็ดลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างข้างเตียง ผมกดรีโมทเปิดทีวีเพื่อคลายความเงียบ และอยากจะดูวิถีความเป็นอยู่ของชาวเวียตนามแบบผ่านจอ แม้ว่าจะฟังภาษาของเขาไม่รู้เรื่องก็ตามที อย่างน้อยก็คงทำให้ผมหายจากอาการงัวเงียได้ |
ห้องพักของ Chancery Hotel สะอาดน่ารักในสไตล์บูติก โดยอิงโครงสร้างทางสถากรรมเดิมแบบโคโรเนียล ห้องที่ผมพักค่อนข้างสบาย ผมเปิดหน้าต่างด้วยการยกกลอนตัวใหญ่โบราณ เห็นหลังคาบ้าน และตึกหลายหลัง เหม่อมองออกไปคิดถึงในสมัยที่เมืองไซ่ง่อนแห่งนี้อยู่ในภาวะสงคราม เขาว่ากันว่าที่เมืองไซ่ง่อน หรือ เมืองโฮจิมินห์ แห่งนี้ถูกทำลายน้อยที่สุด ไม่เหมือนที่จังหวัดกวางตรี ตรงเส้นละติจูดที่ 17 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเวียตนามเหนือ และใต้ โดยเป็นเส้นที่ใกล้เคียงกับจังหวัดมุกดาหารของบ้านเรา ที่จังหวัดกวางตรี ตรงนั้นเป็นสมรภูมิใหญ่ มีการปะทะกันบ่อยครั้ง รวมถึงจำนวนระเบิดมากมายถูกทิ้งลงที่นั่น |
ผมเลิกคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายของสงครามด้วยการมองดูสาวๆ เวียตนามวิ่งออกกำลังกายยามเช้าที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามโรงแรม ใช่แล้ว...สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรใส่ใจ โลกของเราทุกวันนี้ล้วนเต็มไปด้วยมลพิษ ภาพลวงตา ตำแหน่งหัวโขน และการหลอกลวง ความสุขที่แจ้งจริงของคนเรานั้นอยู่ที่ไหน สำหรับเช้านี้ผมว่า การมีชีวิตที่ยืนยาว เพื่อที่จะได้ใช้เวลาทุกวินาทีอยู่กับคนที่เรารักให้นานที่สุด หรือทำอะไรเพื่อคนที่เรารักไว้ให้มากที่สุด ก็น่าจะเป็นความสุขที่แท้จริงแล้วมิใช่หรือ... |
ชายหาดวุงเตา แผนการเดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยววันนี้ เราจะต้องเดินทางกันไกลสู่ชายหาดวุงเตา คุณถุ่ยบอกว่าที่นั่นเป็นชายหาดที่สามารถเล่นน้ำทะเลได้ และมีอาหารทะเลที่สดอร่อย แต่อยู่ไกลจากเมืองโฮจิมินห์ ประมาณ 250 กิโลเมตร ผมเริ่มตื่นเต้นที่จะได้เห็นชายหาดของเวียตนาม และเริ่มที่จะวางแผนนอนหลับต่อในรถเนื่องจากระยะทางยาวไกล รถที่เราใช้เดินทางถึงแม้จะเป็นรถคันใหม่เอี่ยมแต่ก็ไม่สามารถทำความเร็วได้มากนัก เพราะกฏจราจรของเวียตนามค่อนข้างเข้มงวด จึงสบายใจได้ว่าเดินทางปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ |
ชายหาดวุงเตา มีส่วนละม้ายหาดบางแสนของบ้านเราอยู่มากตรงที่มีร่ม และเตียงผ้าใบ ร้านอาหาร ให้นักท่องเที่ยวได้มานั่ง นอน กิน เล่นน้ำพักผ่อนกันอย่างสบายใจ ที่นี่มีเจ็ตสกี บานาน่าโบ๊ตไว้บริการพร้อมสรรพ ในยามบ่ายของวันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก |
เมืองวุงเตานั้นตั้งอยู่ในจังหวัดบาเรียวุงเตา อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองโฮจิมินห์ คำว่า วุงเตา แปลตามตัวจะได้ว่า วุง หมายถึง อ่าว เตา หมายถึง ท่าเทียบเรือ รวมกันแล้วจึงมีความหมายประมาณว่า อ่าวที่เป็นท่าเทียบเรือ และนอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวแบบตากอากาศของชาวเวียตนามแล้ว เมืองวุงเตายังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือ น้ำมัน และ ก๊าซธรรมชาติ เป็นจำนวนมาก จึงถือได้ว่าที่เมืองวุงเตาแห่งนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเวียตนาม |
ช่วงเย็นๆ ได้มีโอกาสเดินขึ้นไปยังบนเนินเขาปลายหาดวุงเตา ซึ่งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของเมือง บนยอดเขามีรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่หันหน้าออกทะเล ยืนกางแขนทั้งสองข้างเหยียดตรงราวกับการต้อนรับผู้มาเยือน เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก ภายในรูปปั้นมีบันไดเดินวนขึ้นไปให้ผู้มาเยือนได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ในมุมที่สูงที่สุดได้ แต่บันไดค่อนข้างแคบการเดินขึ้นไปควรใช้ความระมัดระวัง |
ค่ำคืนในวุงเตา เป็นไปอย่างเงียบๆ คุณถุ่ยจัดหาที่พักให้อย่างดีสะดวกสบายโดยคืนนี้ผมได้ใช้บริการของโรงแรม Sammy เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ห้องพักเป็นแบบ Sea View เห็นชายหาดได้ยาวไกล ด้านข้างๆ ของโรงแรมมีห้างสรรพสินค้า ปิดบริการตอน 21.00 น. หากอาหารเวียตนามบางมื้ออร่อยไม่ถูกปากถูกใจ ก็ยังพอหาซื้อบะหมี่สำเร็จรูปจากเมืองไทยได้ในห้างนี้ แต่ราคาก็จะแพงขึ้น 1 เท่าตัวจากราคาในบ้านเราครับ |
ทะเลทรายสีทอง จากเมืองวุงเตา โปรแกรมต่อไปที่เป็นไฮไลท์ของทริปคือที่ Red Sand Dune และ White Sand Dune ทั้งสองแห่งนี้อยู่ในแถบชานเมืองมุยเน่ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศมีชายหาดและรีสอร์ทสวยๆ ไว้รอรับนักท่องเที่ยว ดูคล้ายๆ กับเกาะสมุยบ้านเรา |
เท่าที่ดูแล้วผมว่าชายหาดมุยเน่ สวยกว่าชายหาดวุงเตา และร่มรื่นกว่า เพราะมีต้นไม้เรียงรายไปตามชายหาด สลับสับเปลี่ยนกับรีสอร์ทน่ารักๆ หลายระดับราคาให้เลือกใช้บริการ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวตะวันตก นิยมมานั่งๆ นอนๆ พักผ่อนกันคราวละหลายวัน วันนี้คุณถุ่ยพาเข้าไปพักที่ Bamboo Village Beach Resort & Spa เป็นที่พักที่สวยมากๆ แห่งหนึ่งในมุยเน่ และท่าทางราคาห้องพักจะราคาสูงอยู่เหมือนกัน... |
|
อ่ะนะ ไม่กล้าขัดศรัทธาครับ เลยทำเนียนๆ เข้าไปเก็บสัมภาระล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำสวยจนแทบไม่อยากจะใช้ให้เลอะเทอะ จากนั้นค่อยออกไปดูความมหัศจรรย์ต่อที่ Red Sand Dune |
Red Sand Dune หรือ เนินทรายสีแดง อยู่ห่างจากที่พักประมาณรถยนต์วิ่ง 1 ชั่วโมง ออกไปนอกเมืองยิ่งได้เห็นความเป็นชนบท วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ยิ่งห่างจากเมืองมากเท่าไรจำนวนรถที่วิ่งสวนไปมาก็ยิ่งน้อยลง จนถึงนานๆ จะผ่านมาสักคัน และในที่สุดผมก็เดินทางมาถึง Red Sand Dune โดยอยู่ทางซ้ายมือ |
|
ผมไม่เคยเห็นเนินทรายที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนจึงได้ยืนนิ่งดูอยู่พักใหญ่ พลันเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าทรายเหล่านี้มาจากไหน มาได้อย่างไร?
แม้เป็นช่วงบ่ายแสงจากดวงตะวันกำลังเปล่งประกายระยิบสาดแสงไปบนสันเนินทราย เนินทรายจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเรื่อยๆ จากกระแสลม หากเราไม่สังเกตุก็จะไม่รู้ ในยามที่มีลมพัดมา มวลเม็ดทรายละเอียดจะปลิวพริ้วไล่ตามสันเนิน ไปรวมกลุ่มก่อตัวเป็นเนินทรายตามทิศทางลม |
บริเวณนี้มีความกว้างประมาณ 5 ตารางกิโลเมตร เป็นเนินทรายเพียวๆ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น จะมีก็อยู่รายรอบล้อมบริเวณนี้เท่านั้น เด็กชาวเวียตนามตัวน้อยเล่นสไลด์ไถตัวลงมาจากเนินสูงอย่างสนุกสนาน จนพี่เล็ก อดใจไม่ไหวต้องลงเล่นบ้าง ตอนหลังมาบอกว่า ทรายเต็มตัวเลยนุ อ่ะก็แหงละครับพี่ สไลด์ไปขนาดนั้น นับถือจริงๆ ครับ เจ้าของบริษัททัวร์เพื่อนท่องเที่ยว ยอมขมุกขะมอมเพื่อจะได้เก็บความประทับใจไว้เล่าให้ลูกทัวร์ได้รับรู้ถึงกิจกรรมสนุกๆ เช่นนี้....นี่หากมีอูฐ เดินผ่านมาสักตัวคงเหมือนอยู่แถว โกบี ในมองโกเลีย หรือไม่ก็แถวๆ จอร์แดน (ไม่เคยไปหรอกนะครับ เคยเห็นแต่ในทีวี..อิอิ) |
|
นอกจาก Red Sand Dune ที่น่าตื่นตาแล้ว เรายังได้เดินทางไปเที่ยวชมกันต่อที่ White Sand Dune เนินทรายสีขาว คล้ายๆ กันครับสองที่นี้ แต่ที่เนินทรายสีขาวจะเป็นธรรมชาติมากกว่า ยิ่งไปช่วงเย็นใกล้หมดวันด้วยแล้ว การได้ชมดวงตะวันลับของฟ้าจะโรแมนติกสุดๆ ท้องฟ้าสีครามเข้ม น้ำสีน้ำเงิน ทรายสีขาว มีสายลมเย็นพัดผ่านมาปะทะร่างกายอันเหน็ดเหนื่อย ธรรมชาติสวยๆ เช่นนี้ก็จะช่วยบรรเทาให้ลืมเรื่องที่เครียดไปได้มากทีเดียว |
|
ณ เนินทรายขาว ผมนั่งอยู่ริมน้ำที่ดูคล้ายเป็นทะเลสาบ บนฝั่งตรงข้ามเป็นเนินทรายขาวยิ่งใหญ่สลับซับซ้อนก่อตัวเป็นสันเนินแปลกตา กลุ่มนกหลายสิบตัวกำลังบินกลับรัง มีหัวหน้าฝูงบินนำหน้าอยู่ตรงกลาง สองข้างซ้ายขวามีเพื่อนคู่ใจเรียงรายราวปีกเครื่องบิน มันผ่านไปโดยไม่ส่งเสียง ผมมองจนลับตาไปทางทิศตะวันตก....แล้วนึกอิจฉาเจ้านกอิสระกลุ่มนั้นเหลือเกิน ดูเจ้าช่างมีความสุข "เพราะเมื่อยามที่เจ้าอยากจะไปไหน ก็ได้ไป" |
|
เรื่องที่เกี่ยวข้อง ทัวร์เวียดนาม ตอนที่ 1 ทัวร์เวียดนาม ตอนที่ 2 สะหวันนะเขตกวางตรีเว้ดานัง-ฮอยอัน พิเศษปีใหม่ 3 ประเทศ (ทริปส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่) ซาปา! หลังคาอินโดจีน! หนาว! หนาว! หิมะ! หิมะ!
นุ บางบ่อ...เรื่อง / ภาพ ออนไลน์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2551
ขอขอบคุณ / สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม |
||
|