ทัวร์เวียดนาม (ตอนที่ 1)
ทัวร์เวียดนาม (ตอนที่ 1) เมื่อครั้งยังเป็นเด็กผมเคยเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วก้มหน้าลงมองไปจนสุดสายตา พรางคิดอยู่บ่อยๆ ว่า ขอบฟ้าผืนนี้ไปสิ้นสุดตรงไหน....คำถามนี้ตอนนั้น แม้ไอ้เพื่อนรักที่ดูจะมีแววฉลาดหลักแหลมท่าทางอนาคตไกลมากที่สุดในกลุ่ม ก็มิอาจตอบให้ผมหายข้องใจได้...นั่นก็แสดงว่า ผมมีเพื่อนที่ไอคิวพอๆ กัน สมควรคบหากันเป็นเพื่อนรักกันได้ต่อไป |
พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ต้องเข้าโรงเรียน ที่โรงเรียนมีเรื่องราวมากมายให้ได้เป็นความรู้เพิ่มมากขึ้นทุกวัน บางวันก็เป็นเรื่องสนุกๆ บางวันก็เป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ที่เป็นเรื่องอยู่เกือบทุกๆ วัน คือการถูกคุณครูตี ถึงแม้ว่าผมจะมีศักดิ์ศรีเป็นถึงลูกของผู้มีอาชีพเดียวกันกับท่านที่ตีผมก็ตาม |
ในโรงเรียนให้และยัดเยียดอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในสมองที่อัดแน่นไปด้วยขี้เลื่อยของผม และหนึ่งในสิ่งที่อัดเข้ามาก็คือ คำตอบที่ว่า ขอบฟ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นคำตอบที่ชวนให้ค้นหาต่อไป.... |
และถึงแม้ผมจะรู้ว่าขอบฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด แต่ผมก็ยังอยากรู้ว่า แล้วไอ้ที่สุดสายตาโน่น ซึ่งผมยังไม่เคยเดินทางไปถึงนั้นมันเป็นอย่างไร จะมีผู้คนที่มีหน้าตา หรือพูดจาภาษาเดียวกันกับเราไหม ที่นั่นเขาจะกินข้าวเหมือนกันหรือเปล่า และจะมีภูเขา ทุ่งนา ท้องทะเลเหมือนที่ผมเคยเห็นไหม... |
เมื่อมีโอกาส ผมจึงเลือกที่จะเดินทางไปไขว่คว้าหาความรู้จากการเดินทางไปให้ถึง เพื่อให้เห็น เพื่อรับรู้ มากกว่าการอยู่ในขอบรั้วที่เต็มไปด้วยกฏระเบียบ และระบบบางข้อที่สมควรจะยกเลิกไปได้ตั้งนานแล้ว สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะไม่ทั้งหมด แต่มันก็มีผลทำให้ชีวิตของเด็กสมองขี้เลื่อยได้เลือกเดินไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ภายใต้ท้องฟ้ากว้างผืนนี้อยู่เสมอ |
แบ็คแพ็ค กับ บริษัททัวร์ 23 พฤษภาคม 2551 ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม หรือเรียกสั้นๆ แบบคุ้นๆ ว่า ประเทศเวียดนาม เพียงหนึ่งชั่วโมงเศษๆ จากสุวรรณภูมิ ผมก็ได้มาเตร็ดเตร่ป้วนเปี้ยนอยู่สนามบินนอยใบ (Noi Bai) ของเมืองฮานอย เมืองหลวงที่มีความเป็นมายาวนานของประเทศเวียดนาม อย่างสบายๆ |
ที่บอกว่า อย่างสบายๆ เพราะว่าทริปการเดินทางออกต่างประเทศทริปนี้ ผมเลือกใช้บริการของบริษัททัวร์ครับ และบริษัทที่ผมเลือกนั้นก็คือ บริษัทเพื่อนท่องเที่ยว (www.friendtravelthai.com) ตามปกติแล้วการเดินทางของผมมักจะเป็นไปในลักษณะ แบ็คแพ็คมากกว่า ประมาณว่าอยากไปไหนก็ไป ไปเรื่อยๆ ถูกใจที่ไหนก็อยู่นานหน่อย ที่สำคัญต้องประหยัด |
เพราะปีๆ หนึ่งเดินทางบ่อยสะตุ้งสตางค์ก็ต้องหมดไปกับเรื่องเดินทาง การเดินทางแบบประหยัดจึงเป็นทางที่ต้องเลือก ไม่เช่นนั้นรับรองเดือนทั้งเดือนคงต้องรับประทานแกลบคั่วเกลือแหงมๆ |
แต่ทริปนี้ผมลองคำนวนดูแล้ว ระหว่างการเดินทางแบบ แบ็คแพ็ค กับ ใช้บริการของบริษัททัวร์ ราคาที่สรุปได้นั้นต่างกันค่อนข้างเยอะ ไปกับบริษัททัวร์จะประหยัดคุ้มค่ากว่ามาก ทั้งในเรื่องของการประหยัดเวลา และค่าใช้จ่าย เนื่องจากบริษัททัวร์เขาจะมีคอนแทร็คราคาพิเศษ ถูกกว่าเราจองเอง แถมสะดวกสบายไปไหนมาไหนไม่ต้องกลัวหลง มีไกด์นำเที่ยวแบบพูดภาษาไทยคล่องปร๋อ ถ้าเป็นทริปประเทศเวียดนามอย่างที่ผมกำลังเดินทางอยู่นี่ สะดวกกว่าเดินย่ำต๊อกไปเอง |
เพียงแต่การเดินทางร่วมกับผู้ร่วมทริปคนอื่นนั้น เราต้องเคารพเวลาสักหน่อย อย่าทำให้คนอื่นเขารอคอยเราเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคุ้มค่ากว่า เช่น การได้มิตรภาพใหม่ การได้รับความรู้จากไกด์ท้องถิ่น ที่สามารถเล่าเรื่องราวที่เราสงสัยอยากรู้ได้แบบเจาะลึก ซึ่งเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปหลายๆ เรื่องก็ได้มาจากไกด์สาวน่ารักๆ ชาวเวียดนามที่มีชื่อว่า น้องจินดา รวมทั้งความปลอดภัยแบบหายห่วงไปได้เลย |
เรื่องเสียวๆ ข้างถนน ประเทศเวียดนาม รถบัสมารับคณะทัวร์ที่พึ่งลงมาจากเครื่องบิน พร้อมแล้วเดินหน้าออกจากสนามบินนอยใบ (Noi Bai) มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองฮานอย พรางมีเสียงแตรที่คนขับกดบ่อยๆ ถี่ๆ นี่ ถ้าเป็นเมืองไทย คงมีเรื่องกันแล้ว เพื่อนใหม่ในคณะทัวร์ทัวร์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มตลกๆ |
เป็นเรื่องแปลกหูอยู่เสมอสำหรับใครที่เคยเดินทางมาประเทศเวียดนามเป็นครั้งแรก เสียงแตรจากรถทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซต์ บนท้องถนนจะดังควบคู่ไปกับเสียงเครื่องยนต์ รถเกือบทุกคันจะกดแตรบ่อยๆ โดยเฉพาะคันหลังที่ต้องการแซงคันหน้า โดยน้องจินดาเล่าให้ฟังว่า เพื่อความปลอดภัย คันหน้าจะได้รู้ว่ารถคันที่อยู่ด้านหลังกำลังจะแซง หรือว่ามีรถอยู่ด้านหลังนะ ให้ขับระวังๆ หน่อย อะไรประมาณนั้น |
ตอนแรกผมรู้สึกไม่คุ้นเอาเสียเลยกับเสียงแตรลั่นถนน แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะกลับรู้สึกว่า เป็นเสน่อย่างหนึ่งที่บ้านเราไม่มี ที่ฮานอยไม่มีบรรยากาศแบบบ้านเราที่เวลาคนขับไม่พอใจรถคันไหน ก็มักจะเร่งความเร็วขึ้นไปขับคู่ เพื่อหวังสมองหน้าให้อีกฝ่ายรับทราบว่า...ตรู ไม่พอใจแล้วนะ... รับรองครับว่าพฤติกรรมอย่างนี้ที่ฮานอยไม่มี |
ผมสังเกตถึงรูปแบการขับรถ และสัญญาณจราจร ในเมืองฮานอยนี้ค่อนข้างล้าสมัยกว่าบ้านเรา ไฟเขียวไฟแดงก็มีไม่ค่อยมากนัก วงเวียนก็ดูไม่ค่อยออกว่าจะให้รถวิ่งไปทางไหน บัสเลนส์ แท็กซี่เลนส์ ไม่ต้องจับจองให้วุ่นวาย ให้วิ่งรวมกันไปอย่างนั้นแหละ ดูเหมือนระเบียบรูปแบบ ความทันสมัยจะสู้บ้านเราไม่ได้ |
แต่ขอโทษครับ น้องจินดาบอกว่า ที่ประเทศเวียดนามนี่ สถิติการเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์นั้นน้อยมากๆ บางวันแทบไม่เกิดเลย ทั้งนี้ก็เพราะการกดแตรของเขานี่แหละที่ช่วยลดอุบัติเหตุ รวมทั้งกฏหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการจำกัดเรื่องความเร็ว..อืม เป็นไงล่ะครับ ประเทศที่ว่าล้าสมัยกว่าบ้านเรา แต่กลับมีเรื่องดีๆ ที่เราน่านำมาศึกษา |
ส่วนการข้ามถนน บนถนนที่วุ่นวายรถขวักไขว่ ที่ดูเหมือนจะไม่หยุดให้เราเดินข้ามไปง่ายๆ ขณะนั้นผมต้องการข้ามไปถ่ายภาพอีกฟากถนนหนึ่ง ยืนรอแล้วรออีกรถที่วิ่งผ่านไปมาก็ไม่ยอมหยุดให้ข้ามเสียที....นานครับผมยืนอยู่นานมาก จนชาวเวียดนามเขาส่งภาษาใบ้ออกมาทางมือและใบหน้าของเขาให้ผมเดินข้ามไปเลย ไม่ต้องรอให้รถหยุด ... ใครจะกล้าฟระ...ผมนึกในใจ หากเดินไปก็มีหวังถูกชนโครมแน่...ไม่เอา ยังไม่อยากเข้าโรงพยาบาลที่เวียดนาม
จนน้องจินดาอีกนั่นแหละ ที่เดินมาเจอ เธอถามผมพร้อมเดินก้าวออกไป จะข้ามถนนเหรอ เดินมาเลยที่เวียดนามนี่ เดินหลับตารถยังไม่ชนเลย เหอๆ บวกเหวอ ครับ....เธอเดินหน้าตาเฉย ไอ้ผมก็ตัดสินสินใจรีบเดินตาม ทั้งที่มีรถวิ่งใกล้เข้ามาถึงแม้เขาจะขับไม่เร็วนักก็ตาม
เร้าใจมากครับ การข้ามถนนที่เวียดนาม โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างฮานอย ตอนหลังได้ความรู้เพิ่มมาว่า การข้ามถนนที่นี่ นึกอยากข้ามก็ข้ามก็ข้ามไปเลย แต่ต้องเดินแบบอย่าหยุดนะ ถ้าหยุดแล้วคนขับรถเขาประมาณการผิดไป นั่นแหละจะเกิดเรื่อง ถ้าตัดสินใจเดินแล้วก็เดินไป อย่าหยุด หรือ ถอยหลัง .... สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชินของเขานี่ครับ จะว่าเขาผิดก็ไม่ถูกนัก ผมว่ามันเป็นวัฒนธรรมฏิบัติกันมามากกว่า |
สุสานท่านโฮจิมินห์ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่ผมได้ไปชมในเวียดนามก็คือ สุสานท่านโฮจิมินห์ ผู้ซึ่งเป็นนักปฏิวัติชาวเวียดนาม และต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ท่านโฮจิมินห์ คือวีรบุรุษที่ชาวเวียดนามให้ความเคารพนับถือกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านเป็นผู้นำการต่อสู้เพื่อประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสให้แก่ชาวเวียดนาม ท่านมีประวัติที่น่าสนใจ ซึ่งผมพอจะเก็บมาเล่าได้พอเป็นสังเขป ดังนี้ |
จากนั้นท่านโฮจิมินห์ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำการต่อสู้ตามอุดมการณ์ และได้เดินทางมาลี้ภัยอาศัยอยู่ในจังหวัดนครพนม ของประเทศไทย โดยการบวชเป็นพระภิกษุ ทำการสอนลัทธิคอมมิวนิสต์ให้ชาวไทย โดยใช้ชื่อในตอนนั้นว่า ลุงโฮ
หลังจากนั้นชาวเวียดนามได้มีโอกาสชื่นชมความสุขในเอกราชของตนเองอยู่เพียงไม่กี่ปี สงครามเวียดนามก็ได้อุบัติขึ้นอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2502 สหรัฐอเมริกา และชาติพันธมิตรอื่นๆ ได้รวมตัวต่อต้านเวียดนาม แต่สุดท้ายสงครามนี้เวียดนามก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอีกครั้ง และยุติลงในปี พ.ศ. 2518 แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านโฮจิมินห์ วีรบุรุษนักต่อสู่ของชาวเวียดนาม มิได้มีโอกาสชื่นชมในชัยชนะกับสงครามครั้งสุดท้าย เนื่องด้วยท่านได้เสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ.2512 ที่บ้านพักหลังเล็กๆ ในกรุงฮานอย ซึ่งเป็นระยะเวลา 6 ปีก่อนหน้าสงครามจะยุติลง
|
ถึงแม้ท่านโฮจิมินห์ อดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม จะเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาเกือบ 40 ปี แต่ชาวเวียดนามก็ยังเคารพนับถือท่านเป็นวีรบุรุษ และบุคคลสำคัญของประเทศที่น่าจดจำ ทั้งนี้ตลอดช่วงชีวิตของท่านโฮจิมินห์ท่านได้ดำเนินชีวิตอยู่บนความเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟื้อ ซื่อสัตย์สุจริต มีความรักหวงแหนแผ่นดินเกิดเป็นที่ตั้ง เห็นประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญ (อยากให้ประเทศของเรามีผู้นำอย่างท่านสัก 3 คน) แต่ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตท่านได้บอกไว้ว่า มีอยู่ 2 อย่างที่ท่านไม่อยากให้ชาวเวียดนามประพฤติปฏิบัติตามท่าน ก็คือ การสูบบุหรี่ และ การไม่แต่งงาน
บริเวณสุสานท่านโฮจิมินห์ จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม และสักการะศพของท่านโฮจิมินห์กันอย่างหนาตาทุกวัน แต่ในหนึ่งสัปดาห์สุสานท่านโฮจิมินห์จะปิดทำการ 1 วัน โดยในช่วงที่ผมไปนั้นจะปิดในวันศุกร์ ก่อนไปนักท่องเที่ยวก็ควรตรวจสอบวันเวลาการเปิดทำการให้แน่นอนเสียก่อน จะได้ไม่เสียเที่ยวนะครับ |
โปรดติดตาม ทัวร์เวียดนามในตอนต่อไปเร็วๆ นี้ |
นุ บางบ่อ...เรื่อง / ภาพ ออนไลน์เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2551
เรื่องที่เกี่ยวของ ทัวร์เวียดนามตอนที่ 2
ขอขอบคุณ / ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม |
คุณวรินทร์พร นีลดานุวงศ์ (คุณเล็ก) เพื่อนท่องเที่ยว : Friend Travel อาคารศูนย์การค้าประตูน้ำเซ็นเตอร์ 2193 ชั้น 2 ถ.ราชปรารถ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 Tel : 02 250 6239 , 089 500 3363 , 083 189 9622 , 089 403 6920 Fax : 02 309 8193 Website : www.friendtravelthai.com Email : friendtravel2003@hotmail.com |