เนปาล สักครั้งหนึ่งในชีวิต (ตอนแรก)
มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีความสามารถสร้างได้ทุกสิ่งอย่าง ในทางตรงกันข้ามก็สามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่งอย่างเช่นเดียวกัน มนุษย์มีความหลากหลายทั้งภายในและภายนอก มนุษย์ชอบที่จะอาศัยอยู่รวมกันเพื่อความแข็งแกร่งและอยู่รอดอย่างสุขใจ และมนุษย์แต่ละหมู่เหล่ามักดำเนินชีวิตแตกต่างกันออกไปตามสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม
มันเป็นบทสรุปเงียบๆ ระหว่างการนั่งปล่อยใจให้ว่างเปล่าอยู่บนยอดเขา ชมทิวทัศน์ของเมืองที่ผมใฝ่ฝันมานาน ว่าอยากจะเดินมาเที่ยวชมสักครั้งหนึ่งในชีวิตของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ในตอนนี้มันคือความจริงไม่ใช่ความฝันเหมือนวันวานอีกต่อไปแล้ว…เนปาล
เมืองกาฐมาณฑุ (Kathmandu)
สถูปสวะยัมภูนาถ – ช๊อปปิ้งย่านธเมล - ชมระบำเนปาลี
เบื้องหน้าด้านล่างของผมเป็นที่ราบหุบเขาของเมืองกาฐมาณฑุ เมืองหลวงของประเทศเนปาล มีมวลตึกรามบ้านช่องของชาวเนปาลอยู่ดารดาษ เกือบทุกหลังจะไม่ทาสีเหมือนอย่างในบ้านเรา ชาวเนปาลนิยมก่อสร้างบ้านในลักษณะห้องแถวด้วยอิฐสีแดงก้อนใหญ่ เมื่อสร้างเสร็จก็จะไม่ทาสี ปล่อยให้เห็นเป็นสีแดงเนื้ออิฐอย่างนั้น จะมีบ้างที่ทาสีขาว ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะความประหยัดหรือค่านิยม แต่ทว่ามันสวยงามเป็นเอกลักษณ์น่ามอง |
อีกไม่นานต่อจากนี้ผมจะได้ท่องไปในดินแดนที่แปลกตา ชมสถานที่ต่างๆ รวมถึงวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของชาวเนปาลในเมืองกาฐมาณฑุ และเมืองโบราณที่อยู่ใกล้เคียง อันได้แก่ เมืองธุลีเขล , เมืองภักตะปุร์ และเมืองปะฏัน
ส่วนด้านหลังของผมตอนนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเก่าแก่มากว่า 2,000 ปี ไกด์ลูกครึ่งเนปาลไทยรูปหล่อพูดไทยชัดบอกผมว่า ที่นี่คือ “สถูปสวะยัมภูนาถ” (Swayambhunath) หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ “วัดลิง” อันเนื่องมาจากที่นี่มีลิงอาศัยอยู่มากมายนั่นเอง ที่ตั้งของสถูปสวะยัมภูนาถนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากตัวเมืองกาฐมาณฑุไปทางตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสถูปที่มีความเก่าแก่มากที่สุดของประเทศเนปาล มีรูปทรงคล้ายโอคว่ำขนาดใหญ่สีขาว ด้านบนก่อนถึงยอดสถูปสร้างเป็นสี่เหลี่ยม มีภาพวาดเป็นรูปดวงตาไว้ทั้ง 4 ด้าน โดยมีความหมายว่า ดวงตาเห็นธรรม (Wishdom Eyes) เป็นสถูปที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธและฮินดู ซึ่งเป็นศาสนาที่ประชากรส่วนใหญ่ในเนปาลนับถือมากที่สุด |
ด้วยความเก่าแก่และเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางศาสนา ปัจจุบันองค์การยูเนสโกได้ทำการขึ้นทะเบียนสถูปสวะยัมภูนาถไว้เป็นมรดกโลกแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2522
นับเป็นนิมิตหมายอันดี สำหรับผู้ที่เดินทางมาถึงเนปาลในวันแรก แล้วได้มาสักการะสถูปสวะยัมภูนาถเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจต่อไป อ้อ…สำหรับการสักการะสถูปแห่งนี้ก็มีความคล้ายคลึงกับการกราบไหว้เจดีย์ หรือพระบรมธาตุในเมืองไทยของเรา คือมีการจุดธูปเทียนแล้วพนมมือไหว้ขอพร จากนั้นก็จะเดินวนรอบองค์สถูปไปตามทิศทางเดียวกับเข็มนาฬิกา จำนวน 3 รอบ เป็นอันเสร็จพิธี |
บริเวณด้านข้างองค์สถูปเป็นที่ตั้งของร้านขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่จะเป็นหน้ากาก และรูปปั้นเทวรูปในปางต่างๆ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ที่ทำจากหินทิเบต ทั้งของจริงและเลียนแบบคละเคล้ากันไป ส่วนสนนราคานั้นเจ้าของร้านจะบอกราคาไว้ค่อนข้างสูง แต่ก็สามารถต่อรองได้ ส่วนผมขอเก็บสตางค์ไว้ในกระเป๋าให้อุ่นใจก่อนดีกว่า เพราะยังมีอีกหลายแห่งที่ต้องเดินทางไปเที่ยวชม เป็นเวลาบ่ายแล้วซินะ ถึงแม้เวลานี้จะมีแสงแดดแผดจ้า แต่ผมกลับไม่รู้สึกร้อนเท่าไรนัก คงเป็นเพราะประเทศเนปาลอยู่ในพื้นที่ที่สูง จะว่าไปคงคล้ายกับเวลาที่เราไปเที่ยวบนยอดดอยยอดเขาต่างๆ ในเมืองไทย ที่มีแสงแดดสาดส่องลงมาแต่เรากลับรู้สึกอบอุ่น บางคนที่ชอบถ่ายภาพก็ถ่ายกันเพลิดเพลิน พอหลังจากนั้นกลับมาบ้านมาดูตัวเองในกระจก ก็ต้องตกใจกับผิวที่หมองคล้ำลง… |
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ชาวเนปาลจะมีผิวคล้ำกันไปบ้าง แต่เท่าที่ลองสังเกตุสาวๆ ชาวเนปาลดูแล้ว ดูหล่อนออกจะสวยคมเสียมากกว่า….นี่ขนาดอยู่ข้างสถูปสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นะ อิอิ |
ธาเมล (Thamel)
บนถนนกลางเมืองกาฐมาณฑุมีรถราขวักไขว่ต่างบีบแตรกันลั่นไม่ต่างจากประเทศเวียตนาม มันเป็นวัฒนธรรมพื้นฐานของการขับรถเพื่อความปลอดภัยของชาวเนปาล หรือบางทีประเทศไทยเรากระมังที่ต่างจากประเทศอื่น ที่เวลากดแตรนั่นเพื่อบอกว่าฉันไม่พอใจแล้วนะ… |
จะอย่างไรก็แล้วแต่มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรม เรามาเยือนประเทศเขาเราก็ต้องปรับตัว ถ้าหากเขามาประเทศเรา เขาก็คงต้องปรับตัวเช่นเดียวกัน รถยนต์ที่ใช้ในประเทศเนปาลส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศอินเดีย และจากประเทศจีนก็มีบ้างแต่เป็นส่วนน้อย ยี่ห้อทาทาดูจะเป็นที่นิยม พวงมาลัยและที่นั่งคนขับนั้นอยู่ทางด้านขวาเช่นเดียวกับประเทศไทย ส่วนรถมอเตอร์ไซต์ที่เห็นมีมากก็จะเป็นยี่ห้อฮอนด้าจากประเทศญี่ปุ่น
คุณสุขคติ ไกด์ประจำคณะเล่าให้ฟังว่า รถยนต์ และมอเตอร์ไซต์ ที่เนปาลมีราคาแพงมาก คือแพงกว่าเมืองไทยเกือบเท่าตัว ทั้งนี้เนื่องมาจากภาษีที่สูงมาก แต่ชาวเนปาลก็นิยมที่จะซื้อรถด้วยการใช้เงินสด ไม่นิยมผ่อนส่ง และไม่นิยมทำประกันภัย ในแต่ละวันจำนวนอุบัติเหตุมีไม่มากนัก เพราะเขาขับรถกันไม่เร็วและคงด้วยเสียงแตรที่กดออกไป |
สองเท้ายังคงทำหน้าที่ก้าวออกไปพร้อมกับรองเท้าเดินป่าคู่เก่าที่มีสภาพน่าปลดระวางเต็มที เวลานี้ผมอยู่ที่ย่านธาเมล (Thamel) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเมืองกาฐมาณฑุ ที่นี่มากมายไปด้วยร้านขายสินค้าที่ระลึกจากประเทศเนปาล และร้านขายสินค้าจำพวกอุปกรณ์แค้มปิ้งค์โดยเฉพาะรองเท้า และกระเป๋ายี่ห้อดังๆ
แน่ละครับ ประเทศเนปาลมีชื่อเสียงเรื่องยอดเขาเอฟเวอร์เรสท์ ที่มีความสูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงอยู่ที่ 8,848 เมตร จากระดับน้ำทะเล การจะเดินไปให้พิชิตยอดเขาแห่งนี้ นอกจากร่างกายและจิตใจแล้ว อุปกรณ์เครื่องแต่งกายยังต้องพร้อมด้วยเช่นกัน ย่านธาเมลจึงเป็นเสมือนศูนย์รวมสินค้า และอุปกรณ์ให้นักเดินไต่เขาได้เลือกซื้อหาก่อนออกเดินทาง |
ผมเองก็เมี่ยงๆ มองๆ หารองเท้าถูกใจสบายเท้าสักคู่ กะว่าจะปลดระวางคู่ที่ใส่อยู่นี่สักหน่อย แต่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะไปเดินสู่ยอดเอฟเวอร์เรสท์หรอกครับ เอาแค่เดินขึ้นภูกระดึงแล้วไม่กัดไม่อ้าปากเปิดระหว่างทางก็เจ๋งแล้ว…แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้าง ผมได้พบรองเท้าที่น่าจะเป็นเนื้อคู่กันอยู่สองสามคู่ มีทั้งของแท้ยี่ห้อดัง และของก๊อปแท้ๆ ยี่ห้อดังเช่นเดียวกัน ส่วนราคาก็แตกต่างกันไป อย่างว่าแหละของถูกของดีไม่มีในโลก คำนี้ใช้ได้ในทุกประเทศ ผมสนใจคู่แท้เพราะเป็นคนที่ใส่รองเท้าได้นาน โอ๊ย…หลายปีครับกว่าจะเปลี่ยน เรียกว่าถ้าถูกใจแล้วก็รักตายเลย ถ้าซื้อวันแรกก็จะแทบจะเอาไปนอนข้างๆ ด้วยอย่างนั้นเลย…จริงๆ นะ
ของดี ของแท้ ต้องมีราคาแพงเป็นธรรมดา ผมพยามมั่วนิ่มหลอกเจ้าของร้านว่า ไอ้คู่ที่ผมสนใจเนี่ยมันเป็นของก๊อป (มุกนี้ใช้ความเสี่ยงหน่อย) ต้องพูดไปยิ้มไปพลาง กันไม่ให้เจ้าของร้านมีอารมณ์ ผมพยามต่อราคาลงมา 50% จากที่เขาบอกไว้ตอนแรก…ไม่รู้ผมต่อมากไปเปล่า…ได้ครับ สมใจหวัง…แต่เป็น..ได้ถูกเชิญออกจากร้านด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกันกับที่ผมส่งไป อิอิ ไม่ถูกพื้นรองเท้าเนปาลสัมผัสก้นออกมาด้วยก็บุญแล้ว |
ถ้าคุณต้องการจะซื้อกระเป๋ากันน้ำใบใหญ่ๆ ยี่ห้อดังจากยุโรป ผมว่าที่ย่านธาเมลนี้หาได้ไม่ยาก แล้วคุณภาพค่อนข้างดี หากมีโอกาสมาเที่ยวก็ลองแวะมาต่อลองราคากันดู อย่าลืมคิดมุกของตัวเองมาจากบ้านด้วยนะครับ อย่าพยามใช้มุกเดียวกับผม คิดว่าคนขายของย่านธาเมลเขาคงไล่ทันแล้วละครับ
สนุกครับเดินเที่ยวย่านธาเมล มีอะไรให้ดูเยอะ ตอนแรกก็เดินกันเป็นกลุ่มเป็นคณะทัวร์อยู่หรอก แต่เมื่อแต่ละคนได้เจอสินค้าถูกใจ ก็เผลอแวะไปตามหัวใจเรียกร้อง วันนี้สบายหน่อยคุณโจ้ แห่ง Ocean Smile บริษัททัวร์ที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยม (Thailand Tourism Awards) จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2551 ซึ่งเป็นผู้ดูแลการเดินทางในทริปพิเศษนี้ ได้ให้เวลาเราช๊อปปิ้งได้นานจนจุใจ เรียกว่าเดินกันตามสบาย ไม่ต้องกังวลว่ารถจะออก เพราะเราคนไทยไปไหนก็ได้ขอให้มีที่ให้ซื้อของเป็นพอ |
เรื่องซื้อของฝากเวลาไปเที่ยวกับคนไทยนี่เป็นของคู่กันครับ หากทัวร์ไหนมีปัญหาเรื่องโปรแกรมท่องเที่ยวแบบว่าต้องตัดโน่นออกตัดนี่ออกก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามาตัดโปรแกรมช้อปปิ้งออกนี่ เตรียมตัวถูกต่อว่าไว้ได้เลย…ไม่เชื่อคุณโจ้ ลองดูดิ
ผังเมืองในย่านธาเมลเป็นเหมือนตาราง มีซอกซอยตัดขวางแบบตรงๆ หากเดินเป็นรอบแบบสี่เหลี่ยมรับรองไม่มีหลง แต่ช่วงที่ผมหลงจากคนอื่นในกลุ่ม ก็พยามจับทิศว่าเรามาจากด้านไหนแล้วเดินเป็นวงเข้าไปหา ก็เจอที่นัดหมายซึ่งเป็นจุดที่ลงรถในตอนแรก ใกล้ๆ ย่านธาเมลมีพระราชวังที่ชื่อว่า Tahiti Tole ตั้งอยู่ด้วย ถึงแม้ประเทศเนปาลจะยกเลิกระบอบกษัตริย์ไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา และได้ สถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยขึ้น แต่แถวๆ พระราชวังแห่งนี้เขาก็ยังห้ามถ่ายภาพอยู่ดี ไม่รู้เป็นเพราะเหตุอันใด |
เย็นย่ำค่ำคืนนี้ซึ่งเป็นค่ำคืนแรกที่เราทุกคนเดินทางมาถึงประเทศเนปาล เราได้ไปรับประทานอาหารค่ำแบบพื้นเมืองที่ภัตตาคารเนปาลลีจุโล พร้อมชมการแสดงระบำเนปาลีแบบดั้งเดิมอีกหลายชุด |
บรรยากาศภายในภัตตาคารตกแต่งได้อย่างสวยงาม มีความคลาสสิคเพราะเป็นอาคารเก่า คนเสริฟอาหารแต่กายด้วยชุดประจำชาติ มีความสุภาพพร้อมบริการด้วยรอยยิ้มไมตรี ที่นั่งเป็นแบบนั่งกับพื้นมีเบาะนุ่มๆ ให้คนละ 1 ใบ คล้ายๆ กับการนั่งแบบวงขันโตกของบ้านเรา แรกเริ่มตรงหน้าจะว่างเปล่า มีเพียงช้อน และแก้วน้ำ ไม่นานคนเสริฟก็จะนำถาดมาวางให้คนละ 1 ใบ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการรับประทานอาหารแบบพื้นเมือง
ภาชนะเกือบทุกชิ้นทำมาจากทองเหลือง เขาขัดกันจนเงาวับ ดูแล้วค่อนข้างสมกับฐานะผมหน่อย…อิอิ ว่ากันว่าประเทศเนปาล และอินเดีย เขาร่ำรวยทองเหลืองนั้นคงจะจริง โดยมีความเชื่อว่าการใช้ภาชนะที่ทำมาจากทองเหลืองนี้ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ อันนี้ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า |
ผมชอบเวลาที่เขามาเสริฟน้ำชากับเหล้าพื้นเมือง คนเสริฟจะยืนอยู่ด้านหลังที่เรานั่ง แล้วก็ยื่นกาน้ำ กาเหล้าให้ห่างจากแก้วประมาณ 1 เมตร โดยที่เขาไม่ต้องงอตัวลงมา ของเหลวจากกาไหลลงมายังแก้วได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่มีกระฉอกนอกลู่นอกทางเลยแม้แต่น้อย สุดยอดครับ ผมพยามให้เขามารินให้ใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะชอบวิธีการริน เลยจำใจต้องทำลายของเหลวในแก้วให้หมดไปแบบเนืองๆ เมื่อกลับถึงที่พักผมจึงหลับสบายบนเตียงนุ่มของหิมาลัยโฮเตล
พระราชวังหนุมานโธกา – จตุรัสกาฐมาณฑุ ดูร์บาร์ –กาฐมาณฑป – ขอพรจากเทพกุมารี – ชมเทือกเขาหิมาลัยที่เมืองธุลีเขล วันต่อมาซึ่งเป็นวันที่สองของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเนปาล เราตื่นกันแต่เช้าด้วยอารมณ์ตื่นเต้น ที่โปรแกรมท่องเที่ยวในวันนี้จะได้แวะไปพบกับเทพกุมารีองค์เป็นๆ แบบตัวจริงเสียงจริง ว่าจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร |
พระราชวังหนุมานโธกา (Hanuman Dhoka Palace) เป็นสถานที่ที่ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมสำคัญของพระมหากษัตริย์และชนในชั้นราชวงศ์ รวมทั้งเป็นสถานที่เสด็จออกชมการสวนสนามของเหล่าทหาร เสียดายที่ทางการเนปาลไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมชมได้ แต่ก็พอจะมองจากภายนอกได้เห็นถึงความสวยงามของพระราชวังได้บ้าง |
ตรงประตูทางพระราชวังเข้ามีรูปปั้นหนุมาน หรือที่เรียกกันว่า หนุมานโธกา (Hanuman Dhoka) ตั้งอยู่บนแท่น เปรียบเสมือนนายทวารทำหน้าที่ปกป้องรักษาพระราชวัง รูปปั้นหนุมาโธกานี้เป็นที่เคารพสักการะของชาวเนปาล มีผู้คนเดินทางกราบไหว้ขอพรอยู่อย่างไม่ขาดสาย เชื่อกันว่าหนุมานโธกา เปรียบเสมือนเทพองค์หนึ่ง |
ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของหอพสันตปุร์ และจตุรัสกาฐมาณฑุ ดูบาร์ (Kathmandu Durbar Square) จตุรัสแห่งนี้มีอาคารที่สวยงามทางสถาปัตยกรรม มีปราสาทเก่าแก่ที่สร้างจากไม้ โดยแกะสลักไว้อย่างวิจิตรบรรจง เป็นผลงานที่แสดงออกถึงพลังศรัทธาอย่างแรงกล้า บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของประเทศเนปาล |
ในอดีตจตุรัสกาฐมาณฑุ ดูบาร์ เป็นสถานที่ที่กษัตริย์เนปาลใช้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อขึ้นครองราช นับเป็นสถานที่มีความสำคัญและงดงามมากแห่งหนึ่งที่น่าไปเที่ยวชม ทั้งยังผ่านการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2522 อีกด้วย |
ถัดไปเป็นกาฐมาณฑป (Kasthamandap) ดูจากชื่อแล้วคล้ายกับมณฑปบ้านเราเลยนะครับ มีลักษณะเป็นอาคารไม้เก่าแก่หลังใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้กับวัดกุมารี เล่าสืบต่อกันมาว่าสร้างโดยกษัตริย์ลักษมี นาสิงห์ มัลละ เมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 16 โดยใช้ไม้จากต้นสาระเพียงต้นเดียว ชื่อของกาฐมาณฑปนี้เป็นที่มาของชื่อเมือง กาฐมาณฑุ ในปัจจุบันด้วย |
แม้จะเป็นสถานที่สำคัญ วิถีชีวิตของชาวเนปาลก็ยังดำเนินไปด้วยความเรียบง่าย แต่ว่าแปลกตาสำหรับชาวต่างชาติ เช่นภาพพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่บนสถูปที่เรียงราย วางผักผลไม้ที่ขายไว้บนเหลี่ยมมุม บางจุดก็ปล่อยวัวให้นั่งนอนเล่น ทั้งที่เป็นจตุรัสกลางเมือง แต่คงไม่เป็นไรเพราะวัวเป็นสัตว์ชั้นสูงในศาสนาฮินดู บริเวณนี้ยังมีฝูงนกพิราบลงมากินอาหารโดยถ่ายมูลไว้ในที่เดียวกัน มันเป็นภาพแห่งชีวิตที่ได้ดำเนินมานาน คงนานพอๆ กับสิ่งก่อสร้างอัศจรรย์ตรงหน้าเวลานี้ |
ที่น่าแปลกใจคือ สถาปัตยกรรมอันมีค่าเหล่านี้ยังคงอยู่อย่างเกือบครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีใครหักหรือทำลายทั้งที่อยู่ใกล้มือ คงเป็นเพราะคำว่า ศรัทธา และแล้วก็มาถึงโปรแกรมที่จัดว่าเป็นไฮไลท์ของวัน คือการเข้าไปสักการะเทพธิดากุมารี วันนี้ละที่จะได้เห็นเทพองค์เป็นๆ ผมก็เดินตุ๊บปัดตุ๊บเป๋ |
..............................................................................................
ติดตามอ่านเรื่อง เนปาล สักครั้งหนึ่งในชีวิต (ตอนจบ) ได้ที่นี่ |
|
..
.
คลิกเป็นภาพใหญ่ได้เลยครับ