เนปาล สักครั้งหนึ่งในชีวิต (ตอนจบ)
และแล้วก็มาถึงโปรแกรมที่จัดว่าเป็นไฮไลท์ของวัน คือการเข้าไปสักการะเทพธิดากุมารี วันนี้ละที่จะได้เห็นเทพองค์เป็นๆ ผมก็เดินตุ๊บปัดตุ๊บเป๋ตามคณะไปเรื่อยๆ ถ่ายภาพไปพลาง คุยกับคนขายของจอมตื้อด้วยภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะแข็งแรง พ่อค้าแม่ค้าชาวเนปาลพูดภาษาอังกฤษกันคล่องปรื๋อ ส่วนผมแค่นับเลข และตามด้วยหน่วยเป็นดอลล่าได้ก็สนุกแล้ว ต่อราคากันมันระเบิด
อย่างมีดพกของนักรบกุรข่า ซึ่งเป็นทหารชาวเนปาลที่พำนักอยู่แถบเทือกเขาหิมาลัย ว่ากันว่า เป็นนักรบที่มีความสามารถในสมัยที่ประเทศเนปาลรบกับอังกฤษ ก็ได้นักรบกุรข่าผู้กล้านี่แหละ จนทหารอังกฤษมีความเชื่อมั่นในฝีมือของนักรบกลุ่มนี้ ถึงกับลงทุนจ้างไว้เป็นทหารในกองทัพกันเลยทีเดียว |
มีดที่ว่านั้น เป็นมีดที่สวยงามมาก คล้ายกับมีดของชาวไทยภูเขาใช้เหน็บติดเอวเวลาเข้าป่า แต่ที่เนปาลทำได้สวยมาก ที่ปลอกมีดมีการแกะสลักแผ่นทองเหลืองเป็นลวดลายมาติด สีทองตัดกับปลอกสีดำเงาวับงดงาม คนขายบอกราคา 50 ดอลล่า ผมต่อเหลือ 10 ดอลล่า เขาไม่ยอมขายให้ แต่ก็ยังเดินตามตื้อตลอดทาง จนถึงวัดกุมารีนี่แหละ ถึงยอมขายให้…สงสัยจะเหนื่อย |
เคล็ดลับพื้นฐานเลยนะครับ สำหรับการต่อราคาพ่อค้าแม่ค้าที่ชอบตามตื้อ อย่างแรกบอกไปเลยว่า เมื่อวานซื้อของชนิดนี้ไปแล้ว… จากนั้นทำเป็นไม่สนใจ ถ้าราคาเขาลดมาจวนเจียนที่เราต้องการแล้ว ก็ฝืนทำใจแข็งสักหน่อย เพราะที่เนปาลจะมีคนขายของเร่เดินมาขายอยู่มากมาย ต้องทำใจแข็งไว้ครับ อย่าไปอยากได้จนออกหน้าออกตา ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่ถูกใจคุณมากก็ตาม ประเดี๋ยวเถอะเดี๋ยวเขาก็ลดราคาให้เอง งานนี้ต้องวัดใจกันครับ อย่างไงเราคนไทยก็ได้ชื่อว่าต่อราคาเก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว อย่าไปทำเสียชื่อประเทศนะครับ |
วัดกุมารี (Temple of Kumari) ชาวเนปาลมีความเชื่อกันสืบมาว่า กุมารี คือเทพผู้บริสุทธิ์ที่ถือกำเนิดมาบนโลกมนุษย์ ชาวเนปาลมักจะมาขอพรเพื่อให้ตนประสบความสำเร็จในกิจการงานต่างๆ |
สำหรับผู้ที่จะเป็นเทพกุมารีได้นั้น ต้องผ่านการคัดเลือก โดยจะคัดจากเด็กผู้หญิงที่มีอายุประมาณ 3-5 ปี จากตระกูลศากยะซึ่งถือเป็นตระกูลของพระพุทธเจ้า และต้องผ่านการทดสอบหลายอย่าง อาทิ ต้องเป็นเด็กที่ไม่ร้องไห้ระหว่างการทดสอบ มีการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียด เมื่อได้รับตำแหน่งเป็นกุมารีแล้ว ก็จะได้รับการอัญเชิญไปพำนักอยู่ที่วังกุมารี ระหว่างการดำรงตำแหน่งนี้ห้ามให้มีเลือดออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ หรือการมีรอบเดือน หากผิดกฏข้อนี้ก็จะต้องทำการคัดเลือกหาเด็กคนใหม่ขึ้นมาเป็นเทพกุมารีแทน |
ส่วนหน้าที่ของเทพกุมารี คือการประกอบพิธีบูชาเทพแห่งเตาไฟ บางครั้งหากมีผู้เดินทางเข้ามาขอพร โชคดีหน่อยเทพกุมารีก็จะปรากฏกายที่บริเวณหน้าต่างชั้นบนไม่นานนักก็หลบหายเข้าไปเฉกเช่นเดิม ภายในที่พำนักชั้นล่างนี้นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายภาพได้ แต่ห้ามถ่ายภาพเมื่อเวลาเทพกุมารีปรากฏกาย เราทุกคนจึงไม่มีใครได้ภาพถ่ายต้องห้ามนั้นกลับมา เพียงโชคดีที่ได้มีโอกาสเห็นเทพกุมารีเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นเอง |
เทพกุมารีองค์ปัจจุบัน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักผิวขาว ดวงตาและใบหน้าคมคาย แต่งกายสวยสะอาดด้วยชุดพื้นเมือง เป็นเด็กที่ท่าทางยิ้มง่ายทว่ามีพลัง เมื่อมาปรากฏกายที่หน้าต่างบานใหญ่ กรอบหน้าต่างเป็นไม้แกะสลักอย่างอลังการ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวเนปาล ทำให้ดูมีมนต์ขลังสะกดใจเราทั้งคณะให้ยืนอึ้งกันไปได้พักหนึ่งทีเดียว |
วันนี้ผมได้พบเทพกุมารีแล้ว พรก็ได้ขอไปแล้ว แต่จะสำเร็จดังใจหวังหรือไม่คงต้องรอดูกันต่อไป ช่วงบ่ายเราออกเดินทางต่อไปยังเมืองธุลีเขล (ชื่อเรียกยากจัง) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางตะวันออกประมาณ 30 กิโลเมตร เพื่อไปพักค้างคืนชมเทือกเขาหิมาลัย |
เมืองธุลีเขล (Dhulikhel) เป็นเมืองที่มีความเก่าโบราณมากเมืองหนึ่ง เส้นทางจากเมืองกาฐมาณฑุมายังเมืองธุลีเขล ค่อนข้างสะดวกแม้เป็นเส้นทางขึ้นเขา ทิวทัศน์สองข้างทางน่าชม มีการทำนาขั้นบันไดให้เห็นเป็นชั้นๆ ผ่านหมู่บ้านทำอิฐ และทิวเขาเป็นเส้นทางที่มีเสน่ในตัว |
ในอดีตชาวเนปาลใช้เส้นทางนี้ทำมาค้าขายกับชาวทิเบต…นั่นแสดงว่าหากผมจะไปทิเบตก็สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ล่ะซิ และหากจะไปเมืองลุมพินีสถานที่ประสูตรของพระพุทธเจ้าก็อยู่ห่างกันเพียง 320 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง แต่ถ้านั่งเครื่องบินไปก็ใช้เวลาแป๊บเดียว ทว่าค่าโดยสารแพงหน่อย คือประมาณ 10,000 บาท / เที่ยว…ว่าแล้วก็หยุดความคิดไว้ตรงนี้ก่อนดีกว่า |
เมืองธุลีเขลเป็นเมืองที่มีอากาศดี แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน โรงแรมที่พักในเมืองนี้ไม่นิยมติดเครื่องปรับอากาศเพื่อทำความเย็น ส่วนใหญ่จะมีก็เพียงพัดลม เนื่องจากช่วงค่ำและกลางคืนอากาศจะหนาวมาก และในคืนนี้เราได้พักที่โรงแรมหิมาลัยฮอลิซอน ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ในจุดชมวิวที่สวยงามมากที่สุดของเมือง |
ช่วงค่ำได้มีโอกาสพบปะกับท่านผู้ปกครองเมือง คงประมาณว่าท่านนายอำเภอประมาณนี้แหละ ท่านกล่าวต้อนรับด้วยอัธยาศัยไมตรี ท่านพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง และยังได้บอกกับคณะเราให้เป็นปลื้มว่า มีบุคคลสำคัญๆ ของโลกมาพักที่นี่หลายท่านแล้วเช่นกัน…อ่ะนะ สมฐานะผมอีกแล้วซิเนี่ยคืนนี้ |
นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเมืองธุลีเขล เพื่อพักผ่อนตากอากาศ และชมสถาปัตยกรรมหมู่บ้านโบราณของชาวเนวารี ที่มีบรรยาากาศแบบดั้งเดิม และที่เป็นไฮไลท์ของเมืองคือเป็นจุดชมวิวเทือกเขาหิมาลัยได้งดงามมากจุดหนึ่ง ไกด์ของเราบอกว่าถ้าจะให้ชัวร์ต้องมาในช่วงเดือนตุลาคม เพราะช่วงนั้นท้องฟ้าจะเปิด ไม่มีเมฆบดบังเหมือนดังช่วงฤดูฝน |
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังเปิดม่านนอนอยู่ดีเผื่อว่าจะโชคดีได้เห็นเมือกเขาหิมาลัยกะเขาบ้างน่ะ อ่ะรู้อย่างนี้ผมว่าต้องเร่งเก็บสตางค์กันแล้วละครับ แล้วมาเที่ยวในช่วงเดือนตุลาคม ช่วงนั้นเป็นช่วงไฮซีซันของประเทศเนปาล คงต้องจองกันเนิ่นๆ หน่อย เพราะโรงแรมนี้เขามักจะเต็มตลอดคงต้องชิงความไวกันหน่อยนะครับ |
เมืองภักตะปุร์ – เมืองปะฏัน เมืองโบราณอีกสองเมืองที่ได้ไปเที่ยวชมคือ เมืองภักตะปุร์ (Bhaktapur) และ เมืองปะฏัน (Patan) หากคุณมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศเนปาลแล้ว ผมไม่อยากให้พลาดสองเมืองนี้เด็ดมากครับ สำหรับคนชอบถ่ายภาพแล้ว เมืองภักตะปุร์มีมุมสวยๆ อยู่มากมายเหลือเกิน เตรียมเมมโมรี่ไปให้เหลือเฟือ เป็นไปได้เตรียมกล้องสำรองไปด้วยก็ดี อย่างผมทริปนี้ประสบปัญหากล้องเสียมาแล้ว อยู่ดีๆ ก็ error ซะงั้น ถอดออกมาทุกชิ้นส่วนเท่าที่จะถอดได้ ทำความสะอาดใหม่ก็แล้ว…ไม่ยอมหาย โชคดีที่มีกล้องสำรองตัวเล็กติดตัวไปด้วย เลยได้ภาพกลับมา ไม่งั้นคงนอนเสียใจไปหลายวัน |
เมืองภักตะปุร์ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 14 กิโลเมตร เป็นเมืองที่เติบโตขึ้นมาในช่วงยุคกลาง จึงมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมร่วมสมัยรวมอยู่ด้วย เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องงานหัตถกรรมโดยเฉพาะการแกะสลักไม้ งานถักทอ และงานเครื่องปั้นดินเผา นี่ถ้ากรอบหน้าต่างบ้านแกะสลักของชาวภักตะปุร์ขนส่งง่าย ผมก็อยากจะได้เหมือนกัน มันสวยงามมากครับอยากจะนำมาติดที่บ้านให้สมฐานะสักหน่อย รับรองสวยเด่นข้ามหน้าข้ามตาบ้านอื่นในหมู่บ้านแน่ |
ที่เมืองนี้ก็มีจตุรัสเช่นเดียวกัน ใช้เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าน่าสนใจหลากหลาย นักช๊อปไม่ควรพลาดจุดนี้ ที่ซึ่งจะมลายทรัพย์ได้อย่างเพลิดเพลิน ใช้จ่ายก็ระวังด้วยนะครับ อย่าลืมมุกต่อราคาที่ผมบอกไปล่ะ |
จุดเด่นของเมืองภัตะปุร์ คือวิถีชีวิตของผู้คนที่ดำรงอยู่ด้วยความศรัทธาในศาสนา ผสมผสานกับความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะด้วยความที่เคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจการค้า จึงทำให้มีพระราชวังที่สวยสดงดงามมากแห่งหนึ่ง |
ความเจริญรุ่งเรืองดังกล่าวสังเกตได้จากสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในหมู่พระราชวัง เป็นศิลปะของชาวเนวารี อาทิ ประตูพระราชวังทองคำ (Golden Gate) ที่มีการแกะสลักเป็นรูปเทพและอสูรไว้อย่างสวยงาม และสมบูรณ์ที่สุดในโลก และพระราชวังที่มีหน้าต่าง 55 บาน (Palace of 55 Windows) เป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ได้แสดงออกถึงความละเอียดอ่อนด้านการแกะสลักไม้ โดยสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 ในรัชสมัยของกษัตริย์รานจิต มัลละ (King Ranjit Malla) |
เช่นเดียวกัน เมืองภักตะปุร์ ได้ผ่านการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2522 |
จะสังเกตได้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในประเทศเนปาล ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลก ทั้งนี้เนื่องมาจากอารยธรรมอันเก่าแก่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ให้มีอายุยืนยาวสืบไป |
เมืองปะฏัน (Patan)
วันสุดท้ายก่อนการเดินทางกลับประเทศไทย เรายังมีเวลาท่องเที่ยวกันอีกครึ่งวัน และเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจ นั่นคือ เมืองโบราณปะฏัน เมืองปะฏัน อยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลมตร เรียกว่านั่งรถไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว |
เมืองปะฏัน นี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เรียกได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่มากจริงๆ ทั้งยังเป็นเมืองที่ยังมีผู้คนอาศัยอยู่มาตราบเท่าทุกวันนี้ จึงเป็นเสมือนเมืองโบราณที่ยังคงมีชีวิต อย่างเช่นในจังหวัดน่านของประเทศไทยเรา ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่มากเมืองหนึ่งและผู้คนก็ยังดำเนินชีวิตไปแบบเรียบง่าย ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เรียกว่าศิวิไลย์มากนัก ความน่าสนใจของเมืองปะฏันอยู่ที่ความเป็นเมืองแห่งศิลปะ และเป็นเมืองแห่งพระพุทธรูป งาหล่อโลหะ และทองเหลือง โดยช่างฝีมือชาวทิเบตผู้อพยพมาอยู่ในดินแดบแถบนี้ ภายในเมืองมากมายไปด้วยวัดของศาสนาฮินดู และพุทธ มีการวางผังเมืองออกเป็นรูปตารางโดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนอย่างชัดเจน มีจตุรัสปะฏัน ดูร์บาร์และพระราชวังปะฏันตั้งอยู่ใจกลางเมือง |
หากได้มาเที่ยวชมเมืองปะฏันแล้ว สถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการเดินทางไปชมก็คือ วัดทอง (Golden Temple) วัดทอง หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ วัดหิรัณยะวรรณะ มหาวิหาร เป็นวัดของศาสนาพุทธ จุดเด่นอยู่ที่หลังคาที่ทำจากแผ่นทองยาวลงมาจรดพื้น โดยมีความเชื่อสืบทอดกันมาว่าเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปสู่สวรรค์ ภายในมีรูปปั้นโลหะที่ทำจากทองเหลือง และทองแดง เป็นรูปเทพตามคติความเชื่อ มีมุมให้ถ่ายภาพสวยๆ หลายมุม วัดทองจึงเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองปะฏัน |
ปิดท้ายโปรแกรมท่องเที่ยวประเทศเนปาลด้วยการไปสักการะสถูปโพธินาถ (Boudhanath) ดดยอยู่ห่างจากตัวเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร สถูปโพธินาถ เป็นสถูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล มีลักษณะคล้ายกับสถูปสวะยัมภูนาถ ที่ผมได้ไปสักการะในวันแรกที่ได้เดินทางมาถึง แต่มีขาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าและไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขาเท่านั้นเอง ที่นี่เป็นชุมชนของชาวพุทธ โดยเฉพาะชาวทิเบตที่ได้อพยพมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500 ชาวทิเบตนิยมยืนแกว่งล้อมนต์พร้อมสวดภาวนาอยู่ทั่วไปรายรอบองค์สถูป บ้างก็เดินวนรอบองค์สถูปด้วยความศรัทธา |
สายลมยังคงพัดโบกโบยให้ทิวธงมนต์สีแดงเหลืองขาวน้ำเงินสะบัดพัดปลิวไสว ที่ธงมนต์มียันต์เขียนติดอยู่ ว่ากันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ยันต์เหล่านี้จะอำนวยพรเมื่อสายลมเดินทางมาปะทะกับธงมนต์ สองสิ่งนี้จะผสานรวมกันแล้วปลิวว่อนไปให้ผู้คนได้รับพรอันประเสริฐ แม้จะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่มนุษย์ในที่ราบกาฐมาณฑุต่างก็มีความเชื่อศรัทธา ผมในฐานะผู้มาเยือนขอร่วมเป็นหนึ่งในศรัทธานี้ |
มนุษย์เรานั้นล้วนมีความแตกต่างกันออกไปตามถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งแต่ละบริเวณก็มีวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตเป็นของตน ด้วยเพราะความแตกต่างนี้กระมังที่ทำให้มนุษย์เราถวิลหาการเดินทาง เพื่อเป็นประสบการณ์เรียนรู้ความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนร่วมโลกใบนี้ และ ณ ที่แห่งนี้ประเทศเนปาล…สักครั้งหนึ่งในชีวิต |
นุ บางบ่อ
15 กรกฎาคม 2552
เนปาล สักครั้งหนึ่งในชีวิต (ตอนแรก)
|
.คลิกเป็นภาพใหญ่ได้เลยครับ