หมุนชีวิตให้ช้าลงกับบ้านสวนใน “อัมพวา”
ในช่วงที่ฟ้าฝนยังคงคึกคะนอง เชื่อเลยว่า บรรดาคนชอบเที่ยวหรือเหล่ามนุษย์ชีพจรลงเท้า คงต้องคิดกันหนักกันหน่อยว่า จะออกเดินทางไปเยี่ยมเยือน ณ ที่แห่งหนใดจึงจะสุขสมใจแบบไม่กลัวฝน ซึ่งโจทย์ที่ว่านี้นับว่า ยาก! ที่จะหาคำตอบโดนๆ แต่ในที่สุด เราก็พบกับสถานที่ง่ายๆ ไม่ไกลจากเมืองกรุง ที่จะทำให้ทุกหัวใจชุ่มฉ่ำกับธรรมชาติและวิถีชีวิตแบบช้าๆ แต่มีสไตล์กับ "อัมพวา" จังหวัด "สมุทรสงคราม"
หลายคนมีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา แต่ถามหน่อยเถอะว่า "คุณเคยไปสัมผัสกับชีวิตริมคลองแบบอัมพวาดั้งเดิมแล้วหรือยัง" เพราะการได้ออกไปชาร์ตแบตในชั่วข้ามคืนที่ริมตลิ่งของท่าน้ำแม่กลองจะทำให้ความสุขเพิ่มมากขึ้น จนไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่คือดินแดนที่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 70 กว่ากิโลเมตร แต่ทั้งโอโซนและความบริสุทธิ์ยังมีให้ดื่มด่ำอย่างชุ่มปอด สำหรับทริปนี้ เราเริ่มจากการนัดเจอสมาชิกทั้ง 5 คน ที่ห้างดังในย่านพระราม 2 ในเวลาประมาณ 10.00 น. ของเช้าวันเสาร์ จากนั้นจึงค่อยๆ ขับรถลอยลมอย่างเอ้อระเหยไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งเมื่อเข้าสู่จังหวัดสมุทรสาคร เราขอแนะนำให้ ลดกระจกรถลงเล็กน้อย เพื่อให้กลิ่นคาว ลมเค็มของนาเกลือเข้ามาประทะกับผิวกาย ให้เป็นเหมือนเครื่องกระตุ้นต่อมพริ้มให้ตื่นตัวพอที่จะพบกับอีกด้านของอัมพวา
หากถนนหนทางของเส้นพระรามสองไม่แออัดมานัก ระยะเวลาในการขับรถกินลมจากเมืองหลวงไปถึงตลาดน้ำอัมพวาให้เต็มที่เลยก็เพียงชั่วโมงเศษๆ ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกับขับรถจากบางนาไปสยามสแควร์ด้วยเส้นสุขุมวิท ดังนั้น ลองเที่ยวไกลขึ้นอีกนิดแต่ความสุขมากขึ้นเป็นกอง จุดหมายแรกของเราในวันนี้ คือ ตลาดน้ำอัมพวาในยามเที่ยงวัน ซึ่งงวดนี้ก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เคยไปสัมผัส นั่นคือความเจาะแจะจอแจของผู้คนมากหลาย ที่มีทั้งกิน เที่ยว เดิน ขาย กันแทบทุกย่างก้าว แต่เพราะความเบียดเสียดนี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของตลาดน้ำแห่งนี้ "ปั้นจั่น" คือร้านอาหารไทยโบราณที่ชาวคณะขอไปโดนเป็นจุดแรก สำหรับเมนูที่แสนจะธรรมดาและอาจราคาแพงไปสักนิดกับมื้อเที่ยงในต่างจังหวัด แต่เมื่อทุกรายการอาหารถูกจัดวางลงบนโต๊ะไม้ตัวโตที่มีร่มเงาของบ้านทรงเก่าบดบังแสงแดด ก๊วนของเราก็ถึงกับอึ้งในความแปลกใหม่ เพราะอาหารแต่ละจานมีส่วนผสมที่ไม่เหมือนกับของเก่าที่เคยกินมา ข้าวคลุกกระปิ ที่มีทั้ง ไข่เจียว ชะอมสด หมูหวาน กุ้งแห้งชั้นดี และเครื่องเคียงอื่นๆ กับรสชาติที่จัดจ้าน ทำให้ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งได้ชาโบราณรสชาติเข้มๆ แต่หอมนมซะมันย่องเข้ามาเบรกความฉุน ได้ส่งผลให้เมนูนี้ต้องขอกระทืบไลค์ให้แรงๆ
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็ถึงเวลาออกตามล่า บ้านพักหลังเล็กๆ (ขอสงวนนาม) ซึ่งเป็นรีสอร์ทสไตล์บ้านๆ ที่อยู่ริมคลองประดู่ในจังหวัดราชบุรี แต่อยู่ตรงข้ามกับอำเภออัมพวาแบบที่เรียกได้ว่า แค่เดินข้ามสะพานก็ไปถึง แต่ทว่ากว่าจะไปถึงจุดหมายก็เล่นเอาหมดน้ำมันไปหลายลิตร เพราะเส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว เข้าซอยเล็กออกซอยน้อยจนมึนกันทั้งคันรถ แถมเจ้าถนนที่จะพาเราไปยังบ้านพักยังไม่ต่างกับจังหวัดเชียงรายที่มากเลี้ยวจนคนขับยังแอบเอียน แต่ในความคดก็ยังมีความสุขของ 2 ข้างทาง ที่เต็มไปด้วยสวนมะพร้าวและวัดวาที่ดูวิจิตรงดงาม หลงอยู่ในพงอยู่ราวครึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดสมาชิกทั้ง 5 หน่อ ก็พบเจอกับเจ้าของบ้านสวนที่ต้องขับรถออกมารับบรรดาไก่อ่อนอย่างเราๆ ซึ่งก่อนจะเข้าเช็คอิน หากที่พักของคุณอยู่ติดริมน้ำและสามารถทำอาหารได้อย่างเรา ขอแนะนำให้ซื้อของทะเลสดๆ จากตลาดเข้าไปเลย เพราะการชิลกันริมน้ำในช่วงค่ำคืนจะเป็นสุดยอดกิจกรรมที่คุณต้องไม่พลาด เมื่อไปถึงที่พักแล้วก้าวเท้าลงจากเก่งคันงาม พวกเราทั้ง 5 ก็ต้องปากค้างกับอากาศดีๆ ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า ตอนอยู่ที่ตลาดน้ำจะมีอุณหภูมิร้อนจนเกือบเป็นลม แต่พอมาถึงบ้านพักที่อยู่ห่างออกไปเพียง 12 กิโลเมตร กลับมีทั้งความเย็นและความร่มรื่นอย่างกับอยู่บนยอดดอยสูง บ้านไม้หลังริมสุด ที่ด้านหน้าอยู่ติดกับคลองประดู่ ส่วนด้านข้างมีสวนมะพร้าวเป็นแบล็คกราวด์ แถมท้ายกับเครื่องทำน้ำอุ่น อาหารเช้า เตาปิ้งย่าง เครื่องปรับอากาศ และความสะอาดระดับเอคลาส ซึ่งถือเป็นที่พักที่คุ้มเกินคุ้มกับราคา 1,800 บาท ต่อคืน สำหรับ 5 ชีวิตคนเมือง
สิ่งแรกที่ก๊วนคนชอบเที่ยวของเราได้ทำก็คือ วางกระเป๋าแล้วนั่งเรียงหน้ากระดาน เพื่อเหม่อมองล่องน้ำสีใสๆ ที่ไม่ทันไรก็มีนกจับแมลงอกส้มท้องขาวตัวสีฟ้าสดบินผ่านหน้าด้วยความรวดเร็ว เสียงกรี๊ดเพราะนกน้อยนานาพันธุ์แบบดังพอเป็นพิธีของสาวๆ ได้ทำให้บรรยากาศที่เงียบสงบของชุมชนริมฝั่งตื่นขึ้นอีกครั้ง ณ เวลานั้น ความรู้สึกสบายทั้งร่างกายและจิตใจหมุนวนอยู่รอบตัวของเราทุกคน "เฮ้ย! อะไรว่ะ ตรงหัวโค้งนั้นอ่ะ" ประโยคคำถามแบบมึนๆ เริ่มดังขึ้น " มะพร้าวๆ ลงน้ำไปดูกันเลยมั้ยฮ่ะ" สิ้นสุดเสียงตะโกน แก็งค์คนเมืองก็รีบควานหา ห่วงยาง ผ้าถุง เพื่อจะกระโจนลงน้ำใสไหลเอื่อยๆ แต่ระหว่างที่กำลังเตรียมตัวอยู่นั้น มะพร้าวสีดำๆ จากตรงหัวโค้งก็ลอยมาถึงระเบียงของที่พัก ซึ่งหนึ่งในทีมงานถึงกับอุทานเสียงดังลั่นว่า "เฮ้ยยยยยยยย......" ความเงียบค่อยๆ คืบคลานเข้ามาพร้อมกับความซีดเผือดของใบหน้านักท่องท่องที่กำลังมองไปยังมะพร้าวลูกดังกล่าว ซึ่งความจริงแล้ว สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่โคโค่นัทอย่างที่เราคิดไว้ เพียงแต่เป็นร่างของหญิงชราซึ่งไร้วิญญาณลอยผ่านมา เราทุกคนช็อคอยู่ชั่วขณะนึง จากนั้นจึงรีบบอกเจ้าของบ้านพักให้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อมาช่วยเหลือร่างของคุณยายขึ้นจากธารน้ำเย็น
ณ เวลานั้น ความรู้สึกอยากจะย้ายที่พักผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอยู่ในหัวของกลุ่มนักท่องเที่ยวจากเมืองหลวง แต่ทว่าบ้านราคาถูกแถมบรรยากาศดีๆ จะหาแบบนี้ได้จากไหนอีกเล่า ว่าแล้วชาวกรุงจึงลองปล่อยวางแล้วพยายามทำตัวให้สนุกด้วยการออกไปสำรวจตลาดน้ำอัมพวาอีกครั้ง เพื่อรอเวลาร่องเรือชมหิ่งห้อย ตลาดน้ำในยามเย็นยังคงเต็มไปด้วยฝูงชนจากกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง เสียงเพลงครวญเบาๆ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่มีบรรดาคนรุ่นเดอะจับไมค์ให้ความสุขสามารถสร้างรอยยิ้มเล็กให้กับใบหน้าพวกได้ไม่น้อย อาหารการกินในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะมีมากเป็นสองเท่าตัวจากตอนกลางวัน ซึ่งทำให้หลายคนเพลินกับการชิมความแปลกใหม่ของกับข้าวท้องถิ่นจนพุงแทบกาง
ในที่สุดก็เป็นเวลา 20.30 น. พวกเราพาร่างกายกับหัวใจที่หวาดหวั่น เพราะเหตุการณ์ในยามเย็นมาลงเรือหางยาวลำเล็กที่คลองแควอ้อม ซึ่งเป็นคลองสายจ้อยที่มีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้เข้ามาเยี่ยมเยียนความงามของหิ่งห้อยในคลองนี้ทั้งสองข้างฝั่งน้ำคือ ความมืดมิด จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า คนอัมพวามักนอนแต่หัวค่ำ หรือชอบประหยัดไฟกันแน่ ตลอดระยะทางการล่องเรือจึงแทบไม่มีแสงไฟนีออนให้ได้เห็น เพราะแม้แต่บ้านดนตรีไทยที่มีเสียงซออู้ดังโหยหวย ก็มีเพียงเงาตะคุ่มๆ นั่งบรรเลงเพลงรักแบบไม่คิดจะเปิดไฟ ก่อนที่เรือน้อยจะมุ่งหน้าออกไปสู่ห่วงเวลาอันสงบ พวกเราได้ถามนายท้ายว่า จริงหรือไม่ที่ปัจจุบันนี้อัมพวามีแต่ไฟต้นคริสมาสต์แทนความงามของหิ่งห้อย ซึ่งคำตอบที่ได้คือ ไม่จริง เพราะชาวบ้านหลายคนต้องอดตาหลับขับตานอนกับเสียงเครื่องยนต์ที่เหล่าคนเมืองแห่แหนกันมา จนต้องออกอุบายลวงเพื่อที่คนท้องถิ่นจะได้หลับสบายและมีแรงตื่นไปทำงานในรุ่งเช้า เสียงสนทนายังไม่ทันจะจบลง เสียงของเครื่องยนต์ก็ดับพร้อมกับลำพูต้นแรกที่ชูช่อกิ่งก้านใบ โดยมีเจ้าหิ่งห้อยน้อยประดับอยู่แทบทุกซอกมุม ไม่ต่างกับไฟประดับระยิบระยับบนต้นคริสมาสต์ในบ้านเรา เพียงแต่หากคุณได้สังเกตดูดีๆ แสงไฟเหล่านั้นจะเคลื่อนที่แทบทุกเวลา เป็นเหมือนกับไฟเย็นในวัยเด็กที่เราชอบนำมาวาดเป็นลวดลายบนอากาศ ความเย็นค่อยเข้าปกคลุมร่างของนักท่องเที่ยวทั้ง 5 อีกครั้ง เมื่อหัวเรือเริ่มพาเราไปผจญภัยในยามค่ำคืนกันต่อกับสถานีถัดไป ซึ่งแต่ละจุดมีหิ่งห้อยน้อยใหญ่โบยบินอยู่เต็มพุ่มไม้ ช่างเป็นภาพประทับใจที่มีเพียงดวงไฟของหิ่งห้อยกับสายน้ำเย็น และสองข้างทางที่มืดมิดอันมีแต่ความเงียบสงบ ซึ่งคุณไม่สามารถหาดูได้จากที่ไหนนอกจากที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
หลังจากผ่านไปชั่วโมงเศษ การเดินทางของอีกโลกที่เร้นลับก็จบลง ค่ำคืนนี้คุณลุงเจ้าของบ้านพักได้ออกมารอรับพวกเราถึงท่าเรือ โดยบรรดาเตาปิ้ง จานชาม และน้ำแข็งหลอดก็พร้อมรอให้เราได้เริ่มสังสรรค์กันในยามค่ำคืน เมื่อฟ้าปิดสนิทและต้องมานั่งจ่อมอยู่หน้าบ้านพัก ความรู้สึกเสียวสันหลังกับภาพของคุณยายที่ลอยผ่านมาค่อยๆ แปร๊บขึ้นในหัวอยู่ตลอดเวลา แต่ในเมื่อตั้งเตาเรียบร้อยจะให้นำไปเก็บแล้วสั่งข้าวกล่องมันก็กระไรอยู่ ดังนั้นในค่ำคืนแรกพวกเราจึงขอหันหลังให้สายน้ำแล้วสนุกสนานกับความงามของแมกไม้ข้างตัวบ้าน โดยภาวนาขอให้ราตรีนี้ไม่มีความสยองจากสิ่งใดเข้ามากล้ำกราย สำหรับคืนแรก ก๊วนคนกรุงจะเจออะไรบ้าง ขอให้เป็นปริศนาสำหรับคุณๆ ได้ติดตามกันต่อในตอนจบ ซึ่งนอกจากความมืดมิดพร้อมกับจินตนาการอันบันเจิดแล้ว เรายังจะพาคุณได้สัมผัสกับความเป็นอัมพวาแบบดั้งเดิม ความงามของโบสถ์สวย และตลาดน้ำโบราณที่เชื่อว่าหลายคนได้มองข้าม
ส่วนราตรีนี้ ขอดังๆ ฟังชัดๆ ว่า "พุทโธ ธัมโม สังโ ฆ"
(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)