เที่ยวครบรส สนุกครบเครื่อง กับ 3 อำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เที่ยวครบรส สนุกครบเครื่อง กับ 3 อำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เที่ยวครบรส สนุกครบเครื่อง กับ 3 อำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาเราได้พาคุณผู้อ่านไปเที่ยวอำเภอหัวหิน ซึ่งเป็นอำเภอยอดฮิตของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กันไปแล้ว แต่ด้วยจังหวัดนี้ไม่ได้มีดีแค่เพียงอำเภอเดียว วันนี้ทางทีมงานจึงได้มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะพาคุณผู้อ่านมาเที่ยวยังจังหวัดนี้กันอีกครั้ง พบกับเสน่ห์ของ 3 อำเภอ คือ อำเภอปราณบุรี อำเภอสามร้อยยอด และอำเภอกุยบุรี ที่เรารู้ดีว่ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจและให้อรรถรสในการท่องเที่ยวที่แตกต่างรอคุณอยู่ในบริเวณนี้อีกมาก

เมื่อขับรถมาทางถนนเพชรเกษมจากอำเภอหัวหินมุ่งหน้าสู่อำเภอปราณบุรี สถานที่แห่งแรกที่เราจะพบเห็นก็คือ ศาลเจ้าแม่ทับทิมทอง ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาริมแม่น้ำปราณบุรี ภายในศาลประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่เทียนโหวเซี้ยบ้อ หรือ เจ้าแม่ทับทิมทอง ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของชาวปากน้ำปราณอย่างมาก ถ้ามาที่นี่แล้วควรแวะกราบสักการะท่านเพื่อเป็นสิริมงคล และจุดนี้ยังถือเป็นจุดชมวิวจุดหนึ่งที่มีความสวยงาม สามารถมองเห็นแม่น้ำปราณบุรี และวิถีชุมชนของชาวปากน้ำปราณได้จากมุมสูง ทางขึ้นสะดวกสบายสามารถขับรถขึ้นไปได้

ขับตรงมาอีกหน่อยประมาณ 3 กิโลเมตรจะมีป้ายบอกให้ตรงไปยัง ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าชายเลนจากนากุ้งร้างแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองเก่า - คลองคอย ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ทั้งหมด 848 ไร่ เป็นโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 ในพุทธศักราช 2539 เพื่อสนองต่อพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในการที่จะพัฒนาและฟื้นฟูผืนป่า ด้วยเพราะทรงห่วงใยสถานการณ์ป่าชายเลนบริเวณปากน้ำปราณบุรีที่ถูกบุกรุกทำลายเป็นจำนวนมาก ซึ่ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมโครงการฯ และพัฒนามาอย่าต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพระราชทานนามศูนย์แห่งนี้ว่า "สิรินาถราชินี" แปลว่า ที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ไพศาล บริเวณด้านหน้าศูนย์เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการมีชีวิต รวบรวมอุปกรณ์เครื่องใช้ รวมถึงจัดแสดงวิถีชีวิตของชาวบ้านบริเวณปากน้ำปราณจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในบรรยากาศเรือนไม้สถาปัตยกรรมท้องถิ่น ประทับใจกับการเดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่มีรายละเอียดให้ความรู้เพิ่มเติมตลอดเส้นทาง พร้อมชม "ต้นโกงกางประวัติศาสตร์" ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกไว้ ชมภาพผืนป่าสีเขียวชอุ่มแบบ 360 องศา ณ หอชะคราม เป็นหอชมวิวที่สูงเท่ากับตึก 6 ชั้น สนุกเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่ร่มรื่นของแมกไม้นานาพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตตลอดเส้นทางเดิน ประทับใจกับมหัศจรรย์ป่าคนสร้างได้ทุกวัน เวลา 8.30-16.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-3263-2255

จากนั้นขับรถตรงมาตามทางเลียบถนนชายหาดปากน้ำปราณฯ เราจะเห็นเส้นบรรจบของแผ่นฟ้าและผืนน้ำที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตากันเลยทีเดียว บริเวณนี้จะมีบริการโรงแรม รีสอร์ท ห้องพัก ร้านอาหาร และสถานที่ชิลล์เอ้าท์เล็กๆ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง เลือกได้ตามงบประมาณในกระเป๋าของแต่ละคน ซึ่งจะทอดยาวลงไปทางใต้จนถึงชายหาดนเรศวรบริเวณเขากะโหลก ชายหาดแถวบริเวณปราณบุรีนี้มีความเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมาก กิจกรรมที่นิยมกันก็จะเป็นการขี่จักรยานเลียบถนนชายหาด เล่นน้ำทะเล ขับเจ็ตสกี หรือจะเล่นบานาน่าโบ๊ทก็มีบริการ พอตกดึกก็มีกิจกรรมพาออกเรือไปไดหมึกสัมผัสกับอาชีพการทำประมงของชาวบ้านท้องถิ่นว่า กว่าที่จะมีอาหารทะเลสดๆ มาให้เรารับประทานกันมันยาก และต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหน แต่ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกและตื่นเต้นดีเหมือนกัน

เลยไปเที่ยวแถว อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด กันบ้าง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากอำเภอปราณบุรีมากนัก ระหว่างเส้นทางก็พบกับ "วัดตาลเจ็ดยอด" เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาด เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานองค์รูปเหมือนสมเด็จพระพุฒจาร์ย โต พรหมรังสี ขนาดใหญ่หน้าตักกว้าง 11 เมตร สูง 18 เมตร หล่อมาจากโลหะทองเหลือง มีความโดดเด่นเป็นสง่าอย่างมาก เบื้องหน้าหันไปทางเทือกเขาสามร้อยยอด สถานที่กว้างขวาง ร่มเย็นไปด้วยกลิ่นไอรสพระธรรมอยู่โดยรอบ ควรแวะมากราบสักการะขอพรก่อนออกเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่อไปที่ไม่ไกลจากจุดนี้มากนักนั่นคือ "บึงบัว" ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ก่อนจะเข้าไปต้องซื้อบัตรผ่านประตูก่อน ราคาท่านละ 40 บาท และ 30 บาทสำหรับยานพาหนะ ซื้อแค่ครั้งเดียวก็สามารถเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ของอุทยานฯ ได้ตลอดทั้งวัน "บึงบัว" เป็นสถานที่เดินศึกษาธรรมชาติพรรณไม้น้ำ บนสะพานไม้ยกระดับที่ทอดยาวลงไปกลางบึง ช่วงที่เราไปไม่ค่อยมีบัวสักเท่าไหร่นัก ด้วยเจ้าหน้าที่บอกว่าอาจจะเกิดจากอากาศที่ปรวนแปรอยู่ทั่วโลก ในขณะนี้อยู่ก็เป็นได้ แต่แค่ได้มาเดินเล่น สูดอากาศบริสุทธิ์อยู่กลางบึงบัว เราก็ว่าคุ้มแล้ว มีศาลากลางน้ำให้นั่งแวะพักอยู่ 3-4 จุด พร้อมด้วยฉากหลังเป็นวิวเขาหินปูนสลับซับซ้อนของเทือกเขาสามร้อยยอด ภาพนี้ช่างเป็นความงดงามของธรรมชาติเหนือคำบรรยายจริงๆ

เดินเล่นปลดปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติขอบึงบัวกันแล้วก็ไปต่อกันที่ "ถ้ำพระยานคร" อีกหนึ่งสถานที่อันซีนไทยแลนด์ ที่เป็นงานสร้างสรรค์ระหว่างธรรมชาติและฝีมือมนุษย์ การเดินทางมีให้เลือก 2 แบบ คือ เดินเลาะริมเขาจากชายหาดบางปูไปถึงหาดแหลมศาลา แล้วเดินต่อขึ้นเขาที่แหลมศาลาไปอีก 430 เมตร แบบนี้ต้องใช้ความอึดเป็นตัวช่วยอย่างมาก อีกแบบเป็นการโดยสารทางเรือไปครึ่งทางแล้วค่อยไปขึ้นฝั่งที่ชายหาดบางปูเดินขึ้นเขาต่อไปอีก 430 เมตรเช่นกัน ควรพกยากันยุ่งแบบทาไปด้วยเพราะบริเวณตีนเขามียุ่งป่าค่อนข้างชุม ที่สำคัญ "น้ำเปล่า" ก็ขาดไม่ได้เพราะกว่าจะเดินถึงก็หอบแฮ๊กๆ พักอยู่หลายยกกันทีเดียว มีบริการมักคุเทศตัวน้อยคอยนำทางและให้ข้อมูล เมื่อเดินเข้ามาถึงบริเวณในตัวถ้ำก็จะพบกับหินงอกหินย้อย จุดเด่นของถ้ำนี้อยู่ที่มีพลับพลาแบบจัตุรมุขประดิษฐานอยู่ มีชื่อว่า "พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น ในช่วงเช้าประมาณ 10 - 11 โมง เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยวที่นี่ เพราะเราจะได้เห็นลำแสงของพระอาทิตย์ส่องลงมาจากปล่องปากถ้ำด้านบนส่งตรงมายังพระที่นั่งฯ แห่งนี้ ดุจดั่งสปอตไลท์ที่เพิ่มเสน่ห์และความงดงามได้เป็นอย่างดี

ปิดท้ายทริปด้วยการไปชมช้างป่าและกระทิง ณ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี หรือที่รู้จักกันดีในนาม "ป่าซาฟารีเมืองไทย" ด้วยเพราะผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์จึงทำให้มีสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช้างป่าที่อยู่กันอย่างชุกชุม และเหล่าฝูงวัวกระทิง ที่จะออกมาหาอาหารกินในช่วงเย็น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ประมาณ 15.00 - 18.00 น. และต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ในการนำทาง หากไม่ได้ขับรถกระบะมาก็มีบริการพาเที่ยวด้วยรถยนต์ของชาวบ้านผู้ชำนาญพื้นที่ ครั้งละประมาณ 700 บาท ระหว่างทางที่ขับเข้าไปจะเห็นขี้ช้างอยู่เต็มถนนไปหมด แต่ก็ยังไม่เจอตัวช้างสักที แต่พอมาถึงยังจุดของอุทยานฯ ด้านใน บริเวณนี้มีบริการบ้านพัก 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำให้สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากใกล้ชิดกับช้างแบบสุดๆ ด้านข้างจะมีหนองน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกกับเราว่า จุดนี้ช้างจะต้องลงมากินน้ำหรือเล่นน้ำบ้างในช่วงเย็น และต้องใช้ความความเงียบสงบในการดูเพราะช้างป่าเป็นสัตว์ที่ขี้ระแวงตกใจง่าย โชคดีมากเพราะเรารอเพียงไม่นานก็เห็นช้างป่าขนาดกลางตัวหนึ่งลงมาเล่นน้ำ ตื่นเต้นกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ห่างจากจุดนี้ไปอีกประมาณ 3 กิโลฯ จะเป็นจุดชมฝูงวัวกระทิง โดยมีกล้องส่องทางไกลเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อเราจะได้มองเห็นกระทิงได้ชัดเจนขึ้น เพราะมันอยู่ไกลมากๆ เรียกว่าเขาคนละลูกเลยก็ว่าได้ ดูกระทิงกันจนเต็มอิ่มแล้วก็ถือว่าจบทริป กลับไปเอารถที่จอดไว้ยังหน่วยอุทยานฯ ด้านหน้า แต่ที่ไหนได้เรามีโชว์แถมเพราะระหว่างเส้นทางกลับเราพบกับช้างป่าหนุ่มเปรียวที่กำลังกินหญ้าอยู่ริมข้างทาง จอดรถถ่ายได้แป๊ปเดียวพี่เจ้าหน้าที่ก็ค่อยๆ เลื่อนรถไปเพราะช้างป่าเดินเร็วมาก การมาเที่ยวอย่างนี้ทำให้รู้สึกประทับใจและตื่นเต้นตลอดเส้นทาง เพราะต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าเราจะพบกับช้างป่า หรือสัตว์ป่าชนิดไหนอีก อย่างนี้นี่เองที่เค้าเรียกว่า ซาฟารีเมืองไทย

การเดินทางมาที่นี่หาไม่ยาก โดยใช้ถนนเพชรเกษมขับมุ่งหน้าลงใต้มายังอำเภอกุยบุรี ก่อนทางเข้าจะมีช้างปูนโขลงใหญ่ยืนเกาะกลุ่มเชิญชวนให้ไปเที่ยวกัน ก็เลี้ยวขวาเข้าไป ขับไปตามป้าย ชมช้างป่ากุยบุรี/บ้านรวมไทย มีป้ายบอกตลอดเส้นทางประมาณ 15 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0-3264-6292

การเดินทาง

- รถยนต์ส่วนตัว ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 เส้นทางสายธนบุรี-ปากท่อ ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม จากนั้นเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสู่ถนนเพชรเกษม ของทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านจังหวัดเพชรบุรี เข้าสู่เขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผ่านอำเภอหัวหินมุ่งหน้าตรงมาที่อำเภอปราณบุรี
- รถโดยสารประจำทาง สามารถใช้บริการรถโดยสารประจำทาง จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าลงสู่ภาคใต้ได้ทุกสาย ที่สถานีขนส่งสายใต้ ได้เป็นประจำทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ Call Center โทร.1490 เรียก บขส. หรือที่ www.transport.co.th

 

(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)

อัลบั้มภาพ 46 ภาพ

อัลบั้มภาพ 46 ภาพ ของ เที่ยวครบรส สนุกครบเครื่อง กับ 3 อำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook