ท้าแดดกล้าที่อังกอร์วัด

ท้าแดดกล้าที่อังกอร์วัด

ท้าแดดกล้าที่อังกอร์วัด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พอเย็นย่ำก็เริ่มออกเดินทางตามแพลนที่วางไว้ มุ่งหน้าไปเยือนถิ่นเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างหรือโบราณสถานที่มีความงามแฝงความลึกลับ มันช่างท้าทายให้ต้องไปเห็นกับตา

 

สัมผัสแรกที่ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมเรียบมันไม่ต่างกับการเดินทางภายในประเทศเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าสนามบินแห่งนี้ถึงไม่ใหญ่ แต่ก็มีความสะดวกสบายทันสมัยพอตัว พอเข้าแถวเพื่อตรวจเช็คพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่แกก็นั่งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง แล้วส่งพาสปอร์ตต่อกันไปเรื่อยๆ โดยเครื่องอัตโนมือ ดูก็น่ารักดีนะ แล้วพลันก็ได้ยินเสียงเรียก...ไทยๆ ซะดังลั่น ต้องเป็นเราแหง ในใจนึก แล้วพี่แกก็กวักมือเรียกพร้อมยื่นเงินให้หนึ่งพัน ไอ้เราก็รับมาพลางนึก เออใจดีแฮะ มาเที่ยวแล้วยังแถมตังค์ให้อีก ที่ไหนได้ เพื่อนฝรั่งที่ร่วมทางใจดีควักกระเป๋าจ่ายค่าวีซ่าให้นึกว่าต่างชาติเหมือนกัน แต่เปล่าเลย ที่เราผ่านฉลุยได้ก็เพราะมีวีซ่าที่ขอไปจากประเทศไทยต่างหาก แล้วก็ได้ฝากรอยยิ้มครั้งแรกกันไปกับเพื่อนต่างแดน ระหว่างรอรถโรงแรมมารับ ก็นั่งรอแล้วรอเล่าไม่มาซักที เลยเดินเล่นรอบสนามบิน มันก็ควรเดินได้รอบแหละเพราะมันไม่ได้อลังการนัก จึงสังเกตุเห็นว่าเค้าตกแต่งสนามบินด้วยรูปปั้นประติมากรรมจากวรรณคดีตามจุดต่างๆ ซึ่งน่าสนใจและใคร่อยากรู้ ก็ไม่เห็นมีคำอธิบายอะไรแต่มันสัมผัสได้ว่าเรามายืนอยู่บนแผ่นดินเขมรแล้ว ดีไซน์ของห้องพักที่โรงแรมในเมืองเสียมเรียบถูกใจใช่เล่น ที่นอนฟูนุ่มพร้อมการตกแต่งที่มีความเป็นเอกลักษณ์ แค่มองก็รู้ว่ากำลังอยู่ที่ประเทศไหน แถมห้องนอนกับห้องน้ำถูกแบ่งสัดส่วนด้วยบานเฟี้ยม สามารถเลื่อนออกได้หากต้องการเห็นวิวห้องแบบทะลุทะลวง ที่สำคัญอ่างอาบน้ำถูกใจมากเหมือนนั่งอยู่ใต้น้ำตก การต้อนรับของโรงแรมนี้ก็แสนน่ารัก แจกผ้าพันคอพร้อมน้ำตะไคร้ก่อนลงทะเบียน อืม...ชื่นใจหายเหนื่อย

 อีกอย่างที่แอบขโมยรอยยิ้มเราไปคือป้ายที่ใช้แขวนหน้าห้องนี่แหละ หากมันแค่แขวนเอาไว้บอกให้แม่บ้านรู้จะได้มาทำความสะอาดเวลาไม่อยู่มันก็ปรกติ แต่ป้ายเค้าเขียนว่า "gone to the temple" เออแฮะ แสดงว่าคนที่มาพักที่นี่มีกิจกรรมเดียวกันหมดคือ หายไปวัดนั่นเอง ก็พอจะรู้แหละว่าใช่ เพราะคนที่มาที่นี่ก็คงไม่มีใครพลาดที่จะไปเที่ยวชมนครวัตและนครธมเด็ดขาด แสงแดดจ้าที่ร้อนแผดเผาในเดือนสิงหาคมมันก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้อในการเดินชมศิลปะที่วิจิตรตระการตาที่อังกอวัตเลยแม้แต่น้อย รูปแกะสลักหินของนางอัปสรจะมีให้เห็นมากมายตามกำแพงปราสาท ไกด์บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์คล้ายๆ กับตำนานของเราชาวไทยพุทธ เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็นับถือศาสนาพุทธ วิถีชีวิต ตำนาน ความเชื่อ จึงไม่ต่างกันมากนัก สถานที่แห่งนี้กว้างใหญ่สมกับเป็นโบราณสถานจริงๆ ใช้เวลาเดินเป็นวันเล่นเอาเมื่อย แถมแดดที่นี่ไม่ต้องพูดถึง แค่เดินยังไม่ได้ครึ่งทางตัวก็ดำปิ๊ดปี๋ แยกไม่ออกเลยใครไทยใครเขมร การที่จะเข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ต้องซื้อบัตรที่หน้าประตูใหญ่ก่อน แต่ความแปลกอยู่ตรงที่ต้องถ่ายรูปติดบัตรยังกะพาสปอร์ต ไอ้เราก็กลัวไม่สวย เค้าบอกว่ายิ้มได้ก็เลยจัดซะหน้าบานแฉ่ง ทางที่จะเข้าให้ถึงตัวปราสาทมันเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร จึงต้องเช่ารถถึงจะสะดวก และควรมีไกด์ไปด้วยสักคนจะได้อธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ไกด์ที่นี่พูดภาษาอังกฤษเก่งทุกคน โดยที่หน้าประตูทางเข้าจะมีไกด์ให้เราเลือกใช้บริการ เรื่องราคานั้นก็ต้องตกลงกันเอง แต่เราโชคดีที่บอกกับทางโรงแรมไว้ล่วงหน้า เค้าจึงจัดไว้ให้ทุกอย่าง อาหารที่นี่ก็เหมือนกับบ้านเรา เมนูก็เหมือนๆ กัน เลยลองสั่งห่อหมกมะพร้าวอ่อนมาลิ้มรส อืม...เหมือนกันเด๊ะ หากมาถึงถิ่นอังกอทั้งทีก็ต้องลองสั่งเบียร์อังกอต้นตำหรับของประเทศนี้มาจิบพอให้ชุ่มคอก่อนเริ่มเดินทางต่อ รสชาดไม่เลวเลยทีเดียว

 

 จบการเดินทางที่แสนเมื่อยล้ามาทั้งวัน เลยกลับไปสปาที่โรงแรม น้องเค้าเด็กๆ ทั้งนั้น แต่ว่าฝีไม้ลายมือในการนวดนี่ไม่แพ้บ้านเราเลยทีเดียว พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย ดูเหมือนจะประทับใจไม่เบา เลยทำให้มีความประทับใจไม่เพียงแค่ความวิจิตรที่เพิ่งผ่านตา แต่รวมถึงน้ำใจไมตรีที่พี่น้องดินแดนนี้หยิบยื่นให้ แล้วเราจะกลับไปเยือน...อังกอร์ที่รัก

 (คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)

 

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ ท้าแดดกล้าที่อังกอร์วัด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook