"ม่อนแจ่ม" ดินแดนแห่งแสงดาวและสายหมอก

"ม่อนแจ่ม" ดินแดนแห่งแสงดาวและสายหมอก

"ม่อนแจ่ม" ดินแดนแห่งแสงดาวและสายหมอก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากเอ่ยถึงชื่อ "ม่อนแจ่ม" หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก เพราะที่นี่เพิ่งจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักแห่งใหม่ ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2552 ด้วยการเดินทางที่สะดวกสบาย อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี เพลิดเพลินไปกับการท่องเที่ยงเชิงเกษตร ที่นี่จึงถูกพัฒนาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ

"ม่อนแจ่ม แคมปิ้ง รีสอร์ท" เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ด้วยทำเลที่ตั้งบนพื้นที่สันเขาสูง 1,350เมตรจากระดับน้ำทะเล สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลจากทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคืออำเภอแม่แตง ส่วนอีกด้านหนึ่งคืออำเภอแม่ริม ที่นี่เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เห็นทั้งทะเลหมอก พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ซึ่งตอนค่ำจะเห็นแสงไฟระยิบระยับจากบ้านเรือนด้านล่าง เปรียบได้ราวกับดาวบนดินที่สวยงาม อีกทั้งยังเป็นสถานที่ดูดวงดาวบนฟากฟ้าสุดโรแมนติกยามค่ำคืน

ที่พักแห่งนี้เป็นที่พักแนวแคมปิ้ง รองรับนักท่องเที่ยวได้ 40 คน เต็นท์สะอาดจะถูกกางลงบนพื้นที่ส่วนตัว พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นที่นอน หมอน ผ้าห่ม พรม ไฟฉาย ตะเกียง ไฟฟ้า อีกทั้งยังมีห้องน้ำส่วนตัวที่สร้างจากไม้ไผ่ ออกแบบกลมกลืนเข้ากับธรรมชาติอย่างลงตัว ที่สำคัญไม่ต้องกลัวหนาวเพราะมีเครื่องทำน้ำร้อนไว้ให้อาบอุ่นๆ สบายตัวอีกด้วย ที่พักต่างๆ จะถูกแบ่งโซนด้วยแนวรั้วธรรมชาติจากต้นไม้สลับทิวหญ้า ด้านหน้ายังมีที่นั่งกินลมชมวิวเพลินๆ แบบค่ำคว้าดาวเช้าคว้าหมอก ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

ร้านอาหารบนม่อนแจ่ม

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารดีไซน์สุดเก๋ และมุมจิบกาแฟดอยคำไว้คอยให้บริการ จุดเด่นของร้านไม่เพียงแค่ความเอร็ดอร่อยของอาหารเท่านั้น ทุกเมนูยังปรุงด้วยผักสดใหม่ส่งตรงมาจากโครงการหลวง นอกจากนี้ทิวทัศน์บนไหล่เขาที่เรียงรายด้วยแปลงผักอินทรีย์ และแปลงผักขั้นบันไดของชาวเขาเผ่าม้ง ลดหลั่นเป็นแถวยาวจนสุดสายตา ก็ถือเป็นอีกไฮไลท์ที่น่าประทับใจ

จากม่อนแจ่มไปอีก 3 กิโลเมตร (ฝั่งตรงข้าม) จะเป็น ยอดหน้าผาม่อนล่อง จุดชมวิวที่สูงที่สุดของอำเภอแม่ริม สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร สามารถชมทิวทัศน์ของพระอาทิตย์ตกและทะเลหมอกเป็นมุมกว้าง โดยมีตำนานเล่าขานทางประวัติศาสตร์ของขุนหลวงวิลังคะกษัตริย์องค์สุดท้ายของชาวลั๊วะ ซึ่งจะมีการจัดงานไหว้ขุนหลวงวิลังคะที่ดอยม่อนล่องเป็นประจำทุกปี  สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวิถีการดำเนินชีวิตของชาวเขา ที่นี่ยังสามารถชมการละเล่นพื้นบ้านของชาวเขาเผ่าม้ง เช่น การตีกลอง เป่าแคนขลุ่ย การละเล่นชู้จ่าง หากใครเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่ (ประมาณเดือนธันวาคม - มกราคม) จะมีประเพณีปีใหม่ม้งที่ชาวเขาทั้งหมู่บ้านจะร่วมกันแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าสวยงาม มีการประกวดธิดาดอย การแข่งขันล้อเลื่อนไม้ กิจกรรมบันเทิง การเล่นดนตรีของชาวเขา การแสดงชาวเขา การเป่าแคนม้ง โยนลูกช่วง รำดาบ รำพัด โดยเฉพาะงานหัตถกรรมพื้นบ้านก็มีให้ชมอย่างมากมาย

สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการ แวะชมแปลงผักไฮโดรโพนิคของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย การปลูกพืชแบบไฮโดรโพนิคเป็นเทคโนโลยีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน อาศัยหลักการปลูกผักแบบปกติแต่มีการพัฒนาปรับปรุงวิธีการ เพื่อให้สามารถปลูกผักได้ในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด หรือในบริเวณพื้นที่ที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ต้นโอ้คลีฟแดง ผักตระกูลสลัด สตรอเบอรี่ แปลงสมุนไพรขนาดใหญ่ แปลงสาธิตไม้ผล และแปลงวิจัยผักเมืองหนาวก็มีให้ชมอย่างไม่รู้เบื่อ ภายในโรงเรือนยังมีการปลูกมะเขือเทศเชอรี่ หรือที่นิยมเรียกอีกชื่อว่ามะเขือเทศแฟนซีห้าสีนั่นเอง มะเขือชนิดนี้เป็นมะเขือที่มีขนาดเล็กที่สุด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร ผลกลม รสชาติหวานเข้ม มี 5 เฉดสี ตั้งแต่ สีชอคโกแลต สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีชมพู นอกจากความสวยงามแล้วยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์และมากด้วยคุณค่าสารอาหารที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนกลูตามิกสูง ซึ่งเป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่อยู่ในผงชูรสนั่นเอง มะเขือเทศจึงช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารทุกชนิด  ใกล้ๆ กับแปลงผักไฮโดรโพนิคยังมีร้านอาหารชื่อเก๋ว่า "สวนเอเดน" ภายในร้านมีแปลงองุ่นที่ได้สายพันธุ์มาจากการสนับสนุนของโครงการหลวง สามารถชมได้ตลอดทั้งปี ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็นร้านอาหารอร่อยวิวสวยบรรยากาศโรแมนติกอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาด

นอกจากการชมธรรมชาติ ลิ้มรสอาหารแสนอร่อยแล้ว ยังมีของฝากของที่ระลึกมากมาย ไว้ให้จับจ่ายเลือกซื้อเลือกหาติดไม้ติดมือ ไม่ว่าจะเป็นงานหัตถกรรมชาวเขา ผ้าปักชาวม้ง พวงกุญแจแคน เปอะผักเล็ก (ตะกร้าใส่ผักทำจากไม้ไผ่) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ไวน์แครอท ไวน์บีทรูท ผักและผลไม้ตามฤดูกาล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปท่องเที่ยวชมแสงดาวเคล้าสายหมอกที่ม่อนแจ่ม ดินแดนสุดโรแมนติก สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือคู่มือท่องเที่ยวและเรียนรู้โครงการหลวงฉบับสมบูรณ์ "38 เส้นทางความสุข 38 โครงการหลวง" ที่จัดทำขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ไกด์ส่วนตัวพกพาสะดวกที่รวบรวมข้อมูลสุดละเอียดของทั้ง 38 โครงการหลวง เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืน แบบแนบชิดธรรมชาติ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในส่วนของศูนย์พัฒนาโครงการหลวง สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง ผลิตผลของโครงการหลวง และการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป ราคาเพียง 384 บาท


การเดินทางไปม่อนแจ่ม

 ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 เชียงใหม่-ฝาง) ผ่านที่ว่าการอำเภอแม่ริม ถึงหลักกม.ที่ 17 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงสาย 1096 (แม่ริม-สะเมิง) ประมาณ กม.ที่ 15 บริเวณบ้านโป่งแยง ให้สังเกตุป้ายศูนย์พัฒนาโตรงการหลวงหนองหอย ด้านขวามือ ให้เลี้ยวขวาตรงตามถนนหลักระยะทางขี้นเขาอีก 6 กิโลเมตร จนถึงที่ทำการศูนย์ฯ (รวมระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ 39 กิโลเมตร)

(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ ของ "ม่อนแจ่ม" ดินแดนแห่งแสงดาวและสายหมอก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook