อิตาลี แดนดินถิ่นมนต์ขลัง
อิตาลีเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป และสมบูรณ์ไปด้วยศิลปะล้ำค่าโดยศิลปินชื่อก้องโลกหลายคน ที่ได้ฝากผลงานไว้ให้ศิลปินรุ่นหลังได้ชื่นชมและศึกษา ผลงานศิลปะเกือบ 60% ในโลก มีต้นกำเนิดและพร้อมหน้ากันอยู่ในประเทศนี้ อิตาลีจึงเป็นประเทศที่อยู่ในความปรารถนาของใครหลายคน ที่ต้องสักครั้งหนึ่งอยากจะมาย่ำเยือนแดนดินถิ่นนี้ แล้ววันอากาศเป็นใจ นำพาเรามาปล่อยไว้ในโลกแห่งศิลปะที่แท้จริง เมื่อกายพร้อมใจเกินพร้อม การเดินทางก็เริ่มต้น
Italia อิตาลี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐอิตาลี" ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปทางตอนใต้ มีรูปทรงของประเทศเหมือนรองเท้าบู๊ทที่ทุกคนรู้จักกันดี ประเทศอิตาลีถูกล้อมรอบด้วยทะเลในทุกด้านยกเว้นทางตอนเหนือ จึงทำให้มีแนวชายฝั่งที่ทอดตัวยาวหลายกิโลเมตรที่สวยงาม ทำให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก นอกจากนี้ อิตาลียังมีแหล่งประวัติศาสตร์ และมีสถานที่ที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกมากกว่าประเทศอื่นในโลกอีกด้วย ซึ่งมีทั้งมรดกโลกทางวัฒนธรรม และมรดกโลกทางธรรมชาติ ช่างเป็นประเทศที่เพรียบพร้อมจริงๆ งั้นอย่ารอช้า มาเริ่มตะลุยตะลอนกันที่เมืองหลวงอย่างโรมกันเลย
Roma (โรม) เป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ และเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์ โรมมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 2,800 ปี โดยมีบทบาทมากที่สุดในอารยธรรมตะวันตก และเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่ครั้งอดีต โดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต่างๆ มากมาย ปัจจุบันจึงเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี 1870 กรุงโรมเป็นเมืองแห่งศิลปะอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเดินไปตามมุมไหน เป็นอันต้องได้พบเจอกับงานประติมากรรมแกะสลักหินอ่อนที่วิจิตรมากมายหลายแห่ง มีให้ได้ชื่นชมกันจนตาแฉะเลย นอกจากนี้ กรุงโรมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปะวัฒนธรรมมากมาย หากเที่ยวเมืองไทยก็ต้องเที่ยววัด เมื่อมาต่างแดนอย่างในยุโรปก็ต้องเที่ยวโบสถ์ ว่าแล้วก็ไปต่อกันที่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
Basilica of Saint Peter (มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์) ตั้งอยู่ในนครรัฐวาติกันใจกลางกรุงโรม และเป็นมหาวิหารหลักหนึ่งในสี่ของกรุงโรม ที่ออกแบบโดยศิลปินอัจฉริยะ ไมเคิล แองเจโล มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกัน โดยก่อสร้างทับวิหารเดิมเมื่อปีค.ศ.1506 แล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ.1626 สามารถจุคนได้ถึง 60,000 คน และเชื่อกันว่ามหาวิหารแห่งนี้เป็นที่ฝังร่างของนักบุญเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งเป็นสาวกหนึ่งในสิบสององค์ของพระเยซูอีกด้วย ภายในมหาวิหารนั้นวิจิตรงดงามไปด้วยรายละเอียดของงานศิลปะ และงานประติมากรรมแกะสลักหินอ่อนที่อ่อนช้อย สมกับเป็นผลงานของศิลปินเอกจริงๆ ออกจากมหาวิหารอันวิจิตร มุ่งตรงสู่อีกหนึ่งมรดกโลกที่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งเป็นสนามกีฬากลางแจ้ง
Colosseum (โคลอสเซียม) สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เป็นสถานที่ที่เมื่อเห็นก็พาลให้นึกย้อนไปในครั้งประวัติศาสตร์อย่างมีมนต์ขลัง ถึงแม้มันจะดูเก่า แต่ก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ดีในสมัยจักรวรรดิโรมัน ซึ่ง โคลอสเซียม เริ่มสร้างในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน แล้วเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในค.ศ.80 สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเหล่านักรบโรมัน และเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรโรมัน อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย มีทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำขังหากเกิดฝนตก ซึ่งเป็นต้นแบบของสนามกีฬาในยุคปัจจุบัน ในสมัยจักรวรรดิโรมันที่ยิ่งใหญ่ ภายใต้สนามกีฬาแห่งนี้ มีห้องใต้ดินที่ใช้สำหรับกักขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และกักขังสิงโตอยู่หลายห้อง เพื่อที่ให้นักโทษนั้นต่อสู้กับสิงโตที่หิวโหย หากนักโทษคนใดสามารถเอาชนะโดยการค่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่า ก็จะรอดจากการถูกประหาร จะเห็นได้ว่าในสมัยโรมันนั้น มักจะชื่นชมในนักรบและการต่อสู้เป็นอย่างมาก สถานที่แห่งนี้จึงมีผู้กล่าวกันว่า เป็นสถานที่ที่มีแต่การต่อสู้และการแข่งขันที่โหดร้าย แต่ในปัจจุบันมันก็กลายเป็นมรดกโลกที่ควรค่าแก่การศึกษาเป็นที่เรียบร้อย
อยู่กรุงโรมยังไม่หนำใจก็ต้องจำจาก เพราะอิตาลีช่างเป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกมากมายจริงๆ เมื่อได้มาเยือนทั้งที ก็ต้องไปซึมซับและซาบซึ้งกับสิ่งที่บรรพชนร่วมโลกได้ทิ้งไว้ให้ศึกษาให้ได้มากที่สุด ตอนหน้าเราจะพาขยับขึ้นไปทางตอนเหนือของประเทศกันอีกหน่อย ไปตามคำล่ำลือที่อวดโฉมความเอียงของเมืองปิซ่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงอิตาลี
Written by Omyim
(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)