พาไปเที่ยวไร่ยาสูบ เพชรบูรณ์ ตอนที่ 1
หน้าร้อนๆ แบบนี้หลายคนเลือกไปเที่ยวทะเลดับร้อนกัน แต่ครั้งนี้ได้แวะมา เมืองเพชรบูรณ์ ไม่มีแม่คะนิ้งหรือทะเลหมอกให้ดูเหมือนตอนมาหน้าหนาว แต่กำลังเป็นช่วงเก็บเกี่ยวของพืชเศรษฐกิจสำคัญอีกชนิดหนึ่งครับ ปกติของขึ้นชื่อของเมืองเพชรบูรณ์ที่รู้กันก็คือมะขามหวาน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งการเพาะปลูกของกระหล่ำปลี ข้าวโพด และยางพารา แต่พืชอีกชนิดที่ปลูกเยอะในจังหวัดนี้และคนไม่ค่อยรู้จักกัน นั่นคือ ต้นยาสูบ
จากทางหลวงหมายเลข 21 วิ่งไปสู่ อ.หล่มสัก หนึ่งในแหล่งปลูกต้นยาสูบแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศไทย ระหว่างทางเราได้เห็นไร่ยาสูบเป็นระยะ ซึ่งมองเผินๆช่างคล้ายไร่กระหล่ำปลี
เมื่อมาถึงไร่ยาสูบเราได้มาเจอกับชาวไร่กำลังเก็บเกี่ยวต้นยาสูบอยู่พอดี เลยถือโอกาสขอชักภาพคุณลุงซะเลย
ยาสูบที่เราเห็นนี้เป็นพันธุ์เบอร์เล่ย์(Burley) ปลูกมาราวสองเดือน ตอนนี้พร้อมเก็บเกี่ยว โดยคุณลุงคนนี้จะเก็บเพื่อนำไปบ่มอากาศ ก่อนที่จะส่งขายต่อไป
ดอกของต้นยาสูบครับ สวยดีเหมือนกัน แต่ต้องโดนตอนทิ้งเพื่อให้สารอาหารไปหล่อเลี้ยงที่ใบได้เต็มที่
สอบถามคุณลุงจึงได้รู้ว่ายาสูบเป็นพืชที่ปลูกกันมากใน จ.เพชรบูรณ์ นี้ เป็นพันธุ์เบอร์เล่ย์ส่วนใหญ่ส่งขายให้กับโรงงานยาสูบบ้านเรา การปลูกพืชยาสูบนี้สามารถสร้างรายได้ดีกว่าการทำนา 4-5 เท่าเลยทีเดียว ชาวบ้านแถบนี้อาชีพดั้งเดิมเคยทำนากันทั้งนั้นและมักประสบปัญหาราคาตกต่ำขาดทุนตลอด การปลูกต้นยาสูบก็ช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้ กำไรเป็นอย่างดีครับ สามารถมีเงินเก็บ ส่งลูกหลานจบระดับปริญญาได้ เห็นคุณลุงว่าบางบ้านส่งจบได้ถึงปริญญาเอกเลยก็มีครับ โอ้วว
สงสัยว่าทำไมรายได้ดีแต่ไม่ปลูกให้เยอะ คุณลุงให้ความกระจ่างว่าต้นยาสูบต้องอาศัยการดูแลเป็นอย่างดี น้ำพอดี ปุ๋ยพอดี หากขาดหรือเกินก็จะไม่ได้คุณภาพที่ต้องการ จึงไม่สามารถปลูกได้มากเพราะต้องดูแลให้ทั่วถึง
จากนั้นเราก็ได้ไปชมขั้นตอนต่อไป การบ่มใบยา โดยความเอื้อเฟื้อของครอบครัวคุณลุง ใบยาที่เก็บเกี่ยวมาแล้วจะต้องผ่านการบ่มอีกราว 35 วันก่อนที่จะนำมาอัดมัดเป็นห่อ เพื่อนำไปส่งขายต่อให้กับโรงงานยาสูบบ้านเรานี่เอง
นี่คือโรงบ่มอากาศ ซึ่งจะต้องบ่มไว้ราว 35 วัน โรงบ่มนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากโรงงานยาสูบบ้านเราครับ ฟังแล้วก็ชื่นใจที่ยังมีคนคอยช่วยเหลือชาวบ้านเกษตรกรอยู่
จากคำบอกเล่าของคุณลุง แรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานครอบครัว หากไม่พอก็ให้เพื่อนบ้านมาช่วยโดยให้ค่าจ้างตามสมควรไป
ก่อนที่จะนำไปบ่มต้องมีการคัดเกรดก่อน ทั้งขนาด ความยาว อีกทั้งยังแบ่งตามรอบในการเก็บใบยาสูบ นั่นคือ ใบล่าง ใบกลาง และใบบน ใบล่างจะเป็นยาสูบที่มีคุณภาพดีที่สุด ราคาจะได้สูงมากกว่าสองชนิดแรก
อีกด้านหนึ่ง ใบยาที่บ่มได้ที่แล้ว ชาวบ้านจะนำมาคัดแยกอีกรอบหนึ่ง หลังจากนั้นจะนำมาอัดมัดเป็นห่อ ห่อละประมาณ 65-70 กิโลกรัม ส่งขายให้กับโรงงานยาสูบต่อไปครับ
ปกติรอบในการปลูกต้นยาสูบ เก็บเกี่ยว บ่ม ขาย จะกินเวลาทั้งสิ้นราว 5-6 เดือน จากนั้นส่วนใหญ่ก็จะไปทำนา ปลูกผักสลับ เพื่อรอรอบการปลูกต้นยาสูบอีกปี
ในตอนหน้าเราจะพาไปดู -ขั้นตอนการปลูกต้นยาสูบ Burley รายได้ที่เหล่าเกษตรกรจะได้รับ และบทบาทของโรงงานยาสูบที่มีต่อชาวเกษตรกรยาสูบกันครับ
(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)
ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!