“ทุกอย่างเพื่อความสุขของลูก” เปิดใจคุณแม่ “น้องไทม์” เมื่อลูกชายอยากเป็นผู้หญิง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โลกโซเชียลถึงกับฮือฮาเมื่อเพจ Shayven ได้เปิดเผยภาพของ “น้องไทม์” ที่ดูภายนอกก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา แต่สิ่งที่เธอถืออยู่ในมือคือเอกสารรับรองว่าเธอคือ “เด็กผู้หญิง” อย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศเยอรมนี โดยคำบรรยายภาพระบุว่าน้องไทม์ได้ “ข้ามเพศ” มาใช้ชีวิตแบบผู้หญิงในวัยเพียง 6 ปี เท่านั้น ซึ่งข่าวนี้ก็ก่อให้เกิดกระแสพูดคุย รวมไปถึงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมและสิทธิในการตัดสินใจของเด็กน้อยผู้นี้อย่างล้นหลาม
“เชเว่น บุญญพงษ์” หรือน้องไทม์ เป็นลูกคนที่สองของคุณบุญชลิตและคุณณัฐกานต์ บุญญพงษ์ คนไทยที่ใช้ชีวิตครอบครัวเล็กๆ อยู่ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ซึ่งมุมมองโดยรวมเกี่ยวกับกลุ่มคนข้ามเพศของพ่อแม่รุ่นใหม่คู่นี้ ก็เป็นเหมือนคนรุ่นใหม่ทั่วไปที่มองว่า แม้สังคมจะเปิดกว้างและยอมรับเรื่องคนข้ามเพศมากขึ้น แต่ในหลายพื้นที่ก็ยังคงมีการต่อต้านและมีอคติกับคนกลุ่มนี้ ซึ่งทั้งคู่ก็มองว่ายังต้องมีการต่อสู้อีกมาก เพื่อให้คนข้ามเพศมีสิทธิมีเสียงในสังคมมากขึ้น แต่เมื่อการเป็นคนข้ามเพศเกิดขึ้นในครอบครัว มุมมองของพ่อแม่คู่นี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ ผู้ที่สามารถบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทางของเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือ “คุณเบสท์ – ณัฐกานต์ บุญญพงษ์” คุณแม่ของน้องไทม์นั่นเอง
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ทราบว่ากำลังจะมีน้องไทม์ คุณพ่อคุณแม่มีความคาดหวังอะไรเกี่ยวกับลูกคนนี้บ้าง
เราคาดหวังเหมือนพ่อแม่ทั่วๆ ไป เราก็อยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด และมีความสุขที่สุด อยากเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาเป็นคนดี มีแต่คนรักและเอ็นดู และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าน้องไทม์อยากจะเป็นเด็กผู้หญิงตั้งแต่เมื่อไร และทราบได้อย่างไร
น้องแสดงออกมาตั้งแต่ 2 ขวบ ว่าน้องคือเด็กผู้หญิง ชอบเล่นของเล่นผู้หญิง ชอบแต่งหน้า เวลาเราอาบน้ำให้น้องจะอายอวัยวะเพศของตัวเอง และเรียกแทนอวัยวะเพศของตัวเองว่าเด็กผู้หญิง ที่ผ่านมาพ่อแม่ก็คิดแบบคนทั่วไปว่าน้องคงยังไม่รู้เรื่อง คงพูดแบบเด็กๆ แต่พ่อแม่สังเกตน้องมาตลอดหลายปี จนตอนนี้เชื่อแบบสนิทใจเลยว่าน้องเกิดมาผิดร่าง
เมื่อทราบว่าลูกไม่ได้อยากเป็นเด็กผู้ชาย คุณพ่อกับคุณแม่รู้สึกอย่างไร
พ่อแม่รู้สึกกังวลมาก เป็นห่วงน้อง ว่าไปโรงเรียนแล้วน้องจะโดนเพื่อนล้อไหม จะโดนเพื่อนแกล้งหรือเปล่า กลัวลูกไม่มีเพื่อน กลัวและเป็นห่วงไปหมด แล้วน้องยังต้องกินยาปรับฮอร์โมน กินวิตามิน กินยาสารพัด ลองคิดดูว่าน้องจะต้องรับประทานยาวันละหลายๆ เม็ดทุกวัน แล้วเพศที่สามจะมีคนยอมรับได้แค่ไหน ถ้าเขาโตขึ้น ถ้าวันนึงเขามีความรัก แล้วครอบครัวของคนรักเขาไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับเพศที่สาม คือในหัวเราคิดไปต่างๆ นานา เราเป็นห่วงลูก เราไม่ได้รังเกียจเพศที่สามเลย เรากลับรู้สึกว่าคนที่เกิดมามีจิตใจไม่ตรงกับเพศที่เกิดมันเป็นความทุกข์ เพราะฉะนั้นแล้วพ่อแม่ก็พยายามสนับสนุนและทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุขในแบบที่เขาเลือก
มีวิธีรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันนี้อย่างไร
เราอยู่ข้างๆ ลูก และรับฟังในสิ่งที่ลูกพูดเสมอ เพราะน้องไทม์อาจจะยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ในวัยแค่นี้ และเขายังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะเจออะไรอีกเยอะ แต่เราคิดว่าต้องทำทุกอย่างให้น้องอยู่กับมันและผ่านมันไปได้ สำหรับพ่อแม่แล้ว การที่เราช่วยกันแก้ปัญหาที่เข้ามามันทำให้ครอบครัวเรารักกันมากขึ้น เวลามีปัญหามาเราก็เล่าให้น้องฟัง อธิบายให้เขาเข้าใจ ลูกจะรู้สึกว่าเราปกป้องเขา เขาไว้ใจเราได้
ในการเข้าสู่กระบวนการข้ามเพศอย่างเป็นทางการ น้องไทม์มีส่วนในการตัดสินใจครั้งนี้อย่างไรบ้าง
น้องไทม์เป็นคนตัดสินใจเองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พ่อแม่เฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าน้องคือเด็กผู้หญิงใช่ไหม เราสังเกตน้องมาตลอด 4 ปีกว่า น้องบอกเราจนเราแน่ใจ เราก็เลยทำให้น้องเข้าสู่กระบวนการข้ามเพศอย่างเป็นทางการ
สภาพสังคมและวัฒนธรรมของประเทศเยอรมนีเปิดกว้างเรื่องคนข้ามเพศมากน้อยแค่ไหน และสภาพสังคมมีส่วนในการตัดสินใจของคุณพ่อคุณแม่หรือไม่ อย่างไร
สังคมที่นี่ทำให้เราตัดสินใจทำเรื่องในครั้งนี้ เพราะแม้ว่าประเทศเยอรมันจะมีกฎหมายรับรองเพศที่สาม และยอมรับการแต่งงานเพศเดียวกัน แต่สำหรับน้องซึ่งอยู่ในวัยประถม เพื่อนในชั้นเรียนของน้องคงยังไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องเป็น สังคมในวัยเด็กที่นี่ต่างกับที่เมืองไทย ในเมืองไทยนั้นยังมีเด็กที่แสดงออกข้ามเพศในโรงเรียน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ยังรวมกลุ่มกันได้ ยังมีเพื่อน แต่ที่นี่การแสดงออกข้ามเพศเป็นเรื่องแปลกสำหรับเพื่อน เรากลัวน้องจะโดนเพื่อนแกล้งหรือเพื่อนไม่ยอมรับ เราจึงตัดสินใจทำเรื่องให้น้อง เพื่อให้ครูที่โรงเรียนและเพื่อนน้องปฏิบัติกับน้องเหมือนเด็กผู้หญิง
การรับรองอย่างเป็นทางการว่าน้องไทม์เป็นเด็กผู้หญิง จะส่งผลดีต่อตัวของน้องอย่างไร
การได้เอกสารจะส่งผลดีต่อน้องคือ น้องจะได้รับการปฏิบัติที่โรงเรียนแบบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สามารถเปลี่ยนชื่อเป็นผู้หญิงได้ ซึ่งมันจะทำให้น้องรู้สึกว่าฉันก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนะ หลังจากนั้นน้องต้องเข้าพบจิตแพทย์อย่างจริงจังทุกปี และเมื่อน้องโตขึ้นแล้วค่อยเข้าสู่กระบวนการตรวจฮอร์โมน ว่าควรไปในทิศทางไหน จะเริ่มลดฮอร์โมนเพศชายและรับฮอร์โมนเพศหญิงได้เมื่อไหร่ ปริมาณยาขนาดไหน เพื่อที่จะปรับให้โตขึ้นน้องมีสรีระแบบผู้หญิง
ในขณะที่น้องต้องไปพบแพทย์และรับประทานยาเยอะๆ น้องเข้าใจกระบวนการยากๆ นี้หรือไม่ และคุณพ่อคุณแม่ และพี่สาวมีวิธีการอธิบายให้น้องเข้าใจและให้กำลังใจอย่างไรบ้าง
ตอนนี้น้องยังไม่ได้เริ่มรับประทานยาค่ะ ต้องรอแพทย์ทำการตรวจระดับฮอร์โมนก่อน เพื่อจะได้รู้ปริมาณฮอร์โมนที่ร่างกายต้องการรับเพื่อปรับสรีระ จากนั้นจึงจะเริ่มรับประทานฮอร์โมนและวิตามินต่างๆ
ที่ผ่านมาเราอธิบายน้องตลอดว่าต้องทำแบบนี้เพื่ออะไร และต่อไปน้องต้องทำอย่างไร ต้องรับประทานฮอร์โมนเพื่ออะไร แล้วจะเป็นอย่างไร เราคุยกับน้องไปถึงเรื่องการแปลงเพศ ว่าถ้าน้องไทม์ต้องการจริงๆ น้องไทม์ต้องไปเจอกับอะไรบ้าง ตรงนี้เราอธิบายให้น้องฟังตลอด และที่ผ่านมาเราให้กำลังใจน้องตลอด โดยบอกน้องเสมอว่า น้องไทม์มีครอบครัวอยู่นะ น้องไทม์จะเจออะไรก็ตาม พ่อแม่ก็จะดูแลน้องอยู่ตรงนี้เสมอ
คุณพ่อคุณแม่ได้มีการพูดคุยกับครอบครัวที่ประเทศไทยหรือไม่ และทางครอบครัวมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
ส่วนตัวคุณแม่ก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกับครอบครัวที่เมืองไทยมากนัก เพราะคุณแม่ย้ายมาอยู่ประเทศเยอรมนีกับคุณยายตั้งแต่อายุ 7 - 8 ขวบ แล้วน้องไทม์ก็สนิทกับคุณยาย คุณยายเป็นคนแรกที่ซื้อเสื้อสีชมพูให้น้องไทม์ใส่ โดยรวมเรามองว่าครอบครัวเราที่เมืองไทยอาจจะไม่ได้สนับสนุนอะไรมาก แต่ก็เข้าใจเรา ส่วนทางคุณพ่อ ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน เขาเกิดและโตที่ไทย เขาจะเล่าเรื่องน้องไทม์ให้ญาติๆ ฟังเยอะกว่า ซึ่งทุกคนก็เข้าใจว่านี่คือความสุขของลูกเรา
มีความกังวลอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องการข้ามเพศของลูก
ความกังวลก็มีบ้าง เพราะว่านี่เป็นเรื่องใหม่ เราทำใจไว้แล้วว่าหลายคนจะไม่เข้าใจ เราเป็นครอบครัวเล็กๆ และไม่อาจไปเปลี่ยนใจคนอื่นให้มาเชื่อเรา เข้าใจเราไปทั้งหมดได้ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาที่พ่อแม่ต้องเข้มแข็งด้วย เราแค่อยากให้เขารู้ว่าเรารักลูกของเราจริงๆ เราอยากเห็นลูกโตมาแบบมีความสุขที่สุดเท่าที่พ่อแม่จะทำให้ลูกได้
สำหรับเด็กที่ต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลงและการตัดสินใจที่สำคัญแบบนี้ ครอบครัวควรอยู่เคียงข้างน้องไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่
เราโชคดีที่สังเกตเห็นลูกแล้วเราไม่ทำให้ลูกสับสน เราปล่อยลูกให้มีอิสระในการพูด การคิด การแสดงออก จนน้องสามารถสื่อสารกับเราได้ชัดเจนว่าน้องชอบแบบนี้ อยากเป็นแบบนี้ อาจจะมีอีกหลายคนที่ไม่ได้โชคดีอย่างเรา คือไม่พยายามเรียนรู้จากลูก หรือไม่รับฟังในสิ่งที่ลูกพยายามจะบอกคุณพ่อคุณแม่ เรารับฟังเขา สนับสนุนเขา และอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลาค่ะ
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกคือ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ง่ายกับพ่อและแม่เช่นกัน เราก็กลัวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูก แต่พ่อและแม่ได้ปรึกษาจิตแพทย์เด็ก คุณครู และผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็ก จนเรารู้สึกมั่นใจว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกเราแล้วค่ะ
คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องเข้มแข็งไปด้วยหรือเปล่า มีวิธีการสร้างความเข้มแข็งอย่างไรบ้าง
ต้องเข้มแข็งมากค่ะ ก็ให้กำลังใจกันตลอดค่ะ พูดคุยกับน้องให้เยอะที่สุด
แผนการดูแลน้องไทม์ในอนาคตเป็นอย่างไร
ตอนนี้เราให้น้องไทม์ไปเรียนเต้นและดนตรี เพราะน้องชอบดนตรี ชอบเต้น ชอบการแสดง ส่วนอนาคตถ้าน้องไทม์เจอสิ่งที่เขาชอบ พ่อแม่ก็พร้อมสนับสนุนให้เขาได้เรียนในสิ่งที่เขาเลือกค่ะ
เราไม่ได้คาดหวังกับลูกว่าจะต้องเก่ง หรือมองว่าเขาจะเป็นของของเราไปตลอด พ่อแม่พยายามจะทำความเข้าใจกับน้องไทม์ และสนับสนุนเขาเพื่อให้เขาเติบโตอย่างดี และใช้ความสามารถของเขาได้เต็มศักยภาพ สามารถอยู่ได้ในมาตรฐานสังคม เราเข้าใจว่าการเลี้ยงลูกของแต่ละบ้านอาจจะแตกต่างกันออกไป แต่เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนยอมเสียสละให้ลูก และพยายามสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่สิ่งที่สำคัญคือเราอยากให้พ่อแม่ยอมรับเขาให้ได้ไม่ว่าเขาจะเป็นกะเทย ทอม ดี้ หรืออะไรก็ตาม