ปวดคอ..ทำอย่างไรดี?
ข้ออ้างของคนที่ไม่ค่อยชอบดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องการ ออกกำลังกาย เรื่อยไปจนถึงการกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ คือ 1. ไม่มีเวลา 2. ขี้เกียจ แล้วถ้าวันหนึ่งร่างกายเราบอกว่า ไม่มีเวลาทำงานให้ มีประสิทธิภาพ แถมระบบก็ขี้เกียจซ่อมแซมส่วนต่างๆ บ้างล่ะ?
อาการปวดคอ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย (เกือบจะมากที่สุด) ในชีวิตประจำวันของคนทำงานออฟฟิศ เนื่องจากกิจกรรมมากมายต้องทำในท่านั่ง คอจึงต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักจากศีรษะตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังเป็นอวัยวะที่สามารถเคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง ไม่ว่าจะก้ม เงย เอียง และหมุน ปัจจัยดังกล่าวทำให้พบปัญหาปวดคอได้ถึง 50% ในช่วงชีวิตหนึ่ง
สาเหตุของอาการปวดคอ
1. ลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้อง : พบได้ทุกเพศทุกวัย มักมีอาการปวดกล้ามเนื้อแถวคอและสะบักในด้านที่ใช้งานบ่อยๆ
นั่งทำงานด้วยโต๊ะและเก้าอี้ที่ไม่ได้ระดับสัมพันธ์กับสรีระร่างกาย
เอียงคอคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน ทำงาน / เล่นคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอนคว่ำหน้าเป็นประจำ หรือเงยคอทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น
2. ภาวะข้อเสื่อม / ข้ออักเสบ : อาการข้อเสื่อมเป็นภาวะที่พบได้เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกและข้อต่อจะมีหินปูนมาพอกหรือมีโรคข้อบางชนิด เช่น รูมาตอยด์ ก็อาจทำให้ปวดคอได้เช่นกัน
3. ภาวะเครียดทางจิตใจ : ทั้งจากหน้าที่การงาน ปัญหาเศรษฐกิจ ครอบครัว การพักผ่อนไม่เพียงพอ ฯลฯ สาเหตุดังกล่าวจะทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็งนานผิดปกติ จึงมีอาการปวดคอและศีรษะบริเวณท้ายทอยได้
4. อุบัติเหตุบริเวณคอ : ภาวะ ดังกล่าวทำให้คอต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เอ็นและกล้ามเนื้อถูกยืดอย่างมากจนเกิดอาการฉีกขาด เกิดอาการปวด และกล้ามเนื้อหดเกร็งจนเคลื่อนไหวไม่ถนัด หรือถ้าเกิดอุบัติเหตุรุนแรง อาจมีกระดูกคอหักหรือเคลื่อนที่ได้
5. สาเหตุอื่นๆ : เช่น กระดูกคอผิดปกติแต่กำเนิด สายตาผิดปกติ
อาการ
ปวดตึงหรือตื้อบริเวณคอ อาจร้าวมาที่บ่า สะบัก หรือแขน ในบางรายอาจมีอาการอ่อนแรงร่วมกับอาการชา เคลื่อนไหวคอได้น้อยลง
การรักษา
เมื่อมีอาการปวดคอควรหยุดพัก ประคบคอด้วยความร้อนหรือความเย็นประมาณ 15-20 นาที ใช้เครื่องพยุงคอหรือผ้าขนหนูม้วนที่หนา และยาวพอเพื่อรับน้ำหนัก พันรอบคอไว้จะได้จำกัดการเคลื่อนไหว และลดแรงกดจากน้ำหนักของศีรษะ อาจกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน แต่ถ้ากินยา 5-7 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
อย่างไรก็ตาม การบริหารกล้ามเนื้อคอเป็นส่วนสำคัญที่สุดใน การรักษาอาการปวดคอ เพราะจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้โอกาสที่จะปวดคอในครั้งต่อไปลดลง
การป้องกันการปวดคอ
จัดท่าในชีวิตประจำวันให้เหมาะสม เช่น ไม่นอนคว่ำเป็นประจำ ระวังและหลีกเลี่ยงอิริยาบถและท่าทางที่ต้องมีการก้ม และเงยคอบ่อยๆ
ท่านอน ไม่ควรหนุนหมอนที่แข็งหรือนุ่มเกินไป ควรใช้หมอนรองที่ใต้ต้นคอให้ใบหน้าขนานกับเตียงพอดี
ท่าทางการทำงาน จัดโต๊ะทำงานและเก้าอี้ให้ได้ระดับสัมพันธ์กับสรีระร่างกาย โดยให้หลังพิงพนักเก้าอี้กรณีใช้คอมพิวเตอร์ให้ปรับจอภาพให้อยู่ในระดับสาย ตา แขนแนบลำตัวและควรวางบนที่วางแขน ระดับเข่าต่ำกว่าระดับสะโพกเล็กน้อย ควรปรับท่าทางบ่อยๆ เน้นให้แนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในระดับแนวตรงตลอด
การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น : ทำหลังจากการประคบอุ่น เนื่องจากความร้อนจะช่วยให้เนื้อเยื่อต่างๆ มีความยืดหยุ่นดีขึ้น และบรรเทาอาการปวดได้ด้วย
ท่าที่ 1 ใช้มือซ้ายจับบริเวณศีรษะเหนือหูด้านขวา ดึงศีรษะไปทางซ้ายจนรู้สึกตึงบริเวณคอและบ่า นับค้าง 1-10 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง สลับทางด้านขวา
ท่าที่ 2 ใช้มือซ้ายจับมือขวาแล้วดึงลง พร้อมเอียงศีรษะไปทางซ้ายจนรู้สึกตึงบริเวณคอ และบ่า นับค้าง 1-10 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง ทำสลับซ้ายขวา
ท่าที่ 3 ใช้มือขวาจับข้อศอกซ้ายแล้วดึงข้ามลำตัว พร้อมกับหันศีรษะไปทางซ้ายจนรู้สึกตึงบริเวณคอและบ่า นับค้าง 1-10 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง ทำสลับซ้ายขวา
การบริหารกล้ามเนื้อคอเพื่อสร้างความแข็งแรง : ควรเริ่มทำเมื่ออาการปวดคอลดลง โดยเกร็งกล้ามเนื้อคอต้านแรงมือ ขณะทำคออยู่ในท่าตรงตลอดเวลา นับ 1-10 ทำท่าละ 10 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ
ท่าที่ 1 ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางที่หน้าผากพร้อมออกแรงกดไปทางด้านหลัง เกร็งศีรษะต้านแรงไว้ ขณะออกกำลังให้คออยู่ในท่าตรง
ท่าที่ 2 ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางวางที่ท้ายทอยพร้อมออกแรงกดไปทางด้านหน้า เกร็งศีรษะต้านแรงไว้ ขณะออกกำลังให้คออยู่ในท่าตรง
ท่าที่ 3 ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางด้านขวาวางบริเวณขมับ พร้อมออกแรงกดไปทางด้านซ้าย เกร็งศีรษะต้านแรงไว้ ขณะออกกำลังให้คออยู่ในท่าตรง ทำสลับกับทางด้านซ้าย