ที่ทำงานของคุณกำลังทำให้คุณอ้วนอยู่รึเปล่านะ
โถใส่บิสกิตประจำออฟฟิศคุณมีแต่รอยนิ้วมือเปรอะเปื้อนไปหมดรึเปล่า แล้วพอบ่ายสามโมง คุณก็กระเด้งจากเก้าอี้โดยอัตโนมัติแล้วไปซื้อของว่างใช่มั้ย
จากผลสำรวจในออสเตรเลีย คนทำงานกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ต่างบอกว่าความเครียดจากการทำงานทำให้พวกเขาห่างไกลจากอาหารสุขภาพ ลองมองย้อนกลับมาที่ตัวคุณว่าคุณก็มีความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า หากคุณประสบภาวะเดียวกันนี้ เราจึงต้องหาวิธีรับมือ เมื่ออ่านเคล็ดลับเหล่านี้และนำไปปฏิบัติตามแล้ว ต่อให้งานหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้คุณไขว้เขวจากการไดเอ็ตได้
1. อาหารโฮมเมด
ทำอาหารสุขภาพไปกินที่ออฟฟิศ หรือหากไม่มีเวลาทำก็ซื้อสลัดเข้าไปกินเป็นมื้อเที่ยงสิ หรือซื้อแช่ตู้เย็นตุนไว้ หากอยากเพิ่มโปรตีนก็ให้เติมไข่ต้ม เนื้อไก่ฉีก หรือปลาทูน่าลงไปด้วย อาหารที่เตรียมง่ายๆ ก็ทำให้สุขภาพดีและหุ่นสวยได้
2. โปรตีนคือเพื่อนของคุณ
ไม่กินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไปในมื้อกลางวัน ทั้งข้าวขาว ขนมปัง พาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยว เพราะคาร์โบไฮเดรตช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้ และนั่นเป็นต้นตอของความหิวในตอนบ่ายที่ทำให้คุณวิ่งไปหาโหลบิสกิตในที่สุด โปรตีนจะไปช่วยระงับให้น้ำตาลเดินทางไปยังกระแสเลือดของคุณได้ช้าลง จึงควบคุมไม่ให้น้ำตาลในเลือดไปทำให้คุณรู้สึกโหยหาของกินอีกในยามบ่าย เมื่อคุณหิวน้อยลงก็มีโอกาสต่ำลงที่คุณจะเลือกของว่างซึ่งมีน้ำตาลสูง
3. งดมื้อเช้าในยามเร่งรีบ
เรารู้ว่าตอนเช้าคุณรีบมาก แต่จำไว้ว่าคนที่ไม่กินอาหารเช้ามักจะกินของว่างจุกจิกในช่วงก่อนเที่ยง หรือกินมากเกินอัตราในมื้อกลางวัน หากคุณรีบมากให้ชงเครื่องดื่มโปรตีนกับกล้วยปั่น ซึ่งสามารถนำไปดื่มระหว่างเดินทางได้ หรือแวะซื้ออาหารเช้า เช่น แซนด์วิชไข่ดาวใส่ผัก หรือขนมปังโฮลวีตซักก้อนก็ยังดี
4. นอนหลับให้เต็มอิ่ม
อย่าประเมินคุณค่าของการนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนต่ำไปเชียวนะ เมื่อคุณนอนไม่เพียงพอ เรื่องราวสารพัดที่ต้องเจอในยามเช้าก็จะทำให้คุณเหนื่อยและพุ่งไปหาของกิน โดยที่คุณอาจจะยังไม่ทันหิวเลยด้วยซ้ำ
5. เตรียมตัวให้ดี
หากคุณต้องอยู่ทำงานจนดึก อย่ารอให้ตัวเองรู้สึกหิวจัดในตอนหนึ่งทุ่มแล้วค่อยคิดถึงอาหารเย็นล่ะ เมื่อความหิวโจมตีคุณมักรุ้สึกอยากกินอาหารแคลอรีสูง หรือสั่งพิซซ่ามาเพื่อความสะดวก เตรียมตัวสำหรับการทำงานหามรุ่งหามค่ำให้ดี ด้วยการแอบแวบออกไปซื้ออาหารเย็นไว้ตั้งแต่บ่ายมาเก็บไว้ก่อน
6. อย่าเผลอใจไปกับตัณหา
ในที่นี้เราหมายถึงอาหารนะ คนเรามักติดกับดักเพราะอาหารขยะ แล้วก็ยากที่จะทำใจไม่ให้ซื้อ เรามักคิดว่าลูกกวาดและช็อกโกแล็ตแท่งที่เราซื้อนั้นมีไว้เผื่อยามฉุกเฉิน เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดนี้จะอยูได้นานพอหรือ ทางที่ดีเลิกซื้อของหวานจุกจิกพวกนี้ซะ แล้วซื้อของขบเคี้ยวที่มีประโยชน์มาประจำโต๊ะไว้คลายหิวดีกว่า
7. เครื่องดื่มก็นับแคลอรีได้นะจ๊ะ
หากคิดว่าเครื่องดื่มจะทำให้คุณอ้วนน้อยกว่าอาหารแล้วละก็ นี่เป็นความคิดที่ผิด ในเครื่องดื่มก็มีแคลอรีที่นำไปนับรวมกับปริมาณแคลอรีทั้งหมดได้เหมือนกัน ชาเย็น โกโก้ โอวัลตินทั้งหลายนั้นถือว่าต้องห้ามเลย แม้แต่นำผลไม้ก็ยังมีน้ำตาลเช่นกัน และยังไม่มีไฟเบอร์เหลือที่จะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้นได้ เมื่อคุณกระหายน้ำ น้ำเปล่าคือเพื่อนที่ดีที่สุด ทั้งปลอดแคลอรีแล้วยังเป็นการประหยัดไปด้วยในตัว
8. กาแฟที่ดื่มปลอดภัยแค่ไหนกัน
เมื่อพูดถึงเครื่องดื่ม ในวันหนึ่งๆ คุณดื่มกาแฟกี่แก้วกัน ปริมาณโดยทั่วไปของลาเต้และคาปูชิโน่นั้นให้แคลอรี 224 แคลอรี นี่ยังไม่รวมน้ำตาลนะ ควรจำกัดปริมาณไม่ให้ดื่มกาแฟเกินวันละหนึ่งแก้ว และเลือกแบบปลอดครีมซึ่งจะได้แคลอรีลดลง 75 เปอร์เซ็นต์จากกาแฟที่ใส่ครีม
9. เข้าประชุมก็ยัง (ไม่เลิก) กิน
หากคุณรู้ว่าจะต้องเข้าประชุมโดยที่มีของว่างหวานๆ แคลอรีสูงวางล่อใจอยู่บนตะ คว้าแอปเปิ้ลหรือของว่างจำพวกธัญพืชเข้าไปแทนดีกว่านะ
10. กลเม็ดเก่าๆ แต่เก๋านะ
เราคงเคยได้ยินกันมาหลายครั้งแล้วว่าควรจะกินอาหารช้าๆ และตั้งใจ แต่เรามักจะกินอาหารหมดอย่างรวดเร็วระหว่างที่ตายังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขม็ง โดยไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าคุณกำลังกินอะไรอยู่ พยายามใช้เวลาสัก 10 นาที (แม้จะยังนั่งที่โต๊ะทำงาน) ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้นนอกจากอาหารที่กินอยู่ เมื่อคุณกินอาหารอย่างรีบเร่ง ตัวสัญญาณที่ต้องทำหน้าที่ส่งความรู้สึกว่าคุณอิ่มแล้วนั้นจะไปถึงสมองได้ ไม่เร็วพอ แล้วนั่นก็ทำให้คุณพลั้งเผลอ กินมากเกินไปจนจุเลยล่ะ
Tips : อย่าคิดว่าสแน็กบาร์และเครื่องสมูธตี้ผลไม้ทั้งหมดจะให้แคลอรีต่ำนะ เพราะหากมีน้ำตาลปริมาณสูงก็ยังเป็นภัยต่อความมั่นคงของหุ่นและน้ำหนักคุณ อยู่ดีนั่นแหละ