วิธีป้องกันภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์

วิธีป้องกันภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์

วิธีป้องกันภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คนท้องขณะตั้งครรภ์อยู่นั้นเสี่ยงที่จะเป็นภาวะโรคหิตจางได้ง่าย และถ้าเกิดขึ้นแล้วอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ได้ ดังนั้น เราควรรู้วิธีป้องกันเพื่อให้ร่างกายของเราและลูกน้อยแข็งแรงสมบูรณ์ ก่อนจะไปรู้จักกับวิธีป้องกัน มาดูอาการคนท้องกันก่อนว่าถ้าเป็นภาวะโรคโลหิตจางจะมีอาการเช่นไร

อาการของโรคโลหิตจาง

1.หน้าจะซีด อ่อนเพลียได้ง่าย รู้สึกเหมือนจะเป็นลมบ่อยๆ

2.หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ

3.มีอาการคลื่นไส้และเบื่ออาหาร

ถ้าเป็นโลหิตจางขณะตั้งครรภ์จะส่งผลเสียต่อลูกน้อยที่อันตรายมากทีเดียว เพราะทารกจะได้รับอ็อกซิเจนไปหล่อเลี้ยงที่น้อยเกินและอาจจะทำให้เกิดอะไรเหล่านี้ตามมาได้

- เด็กมีโอกาสพิการสูงตั้งแต่เกิด

- คลอดเด็กก่อนกำหนดและมีน้ำหนักตัวที่น้อยมาก

- ทารกมีโอกาสเสียชีวิตในครรภ์ได้

- ทารกเสียชีวิตทันทีเมื่อคลอดออกมา

- เด็กเกิดมาเป็นโรคโลหิตจางตามมาด้วย

วิธีป้องกันโลหิตจางสำหรับคนท้อง

1.ควรตรวจเช็คร่างกายก่อนการตั้งครรภ์ว่าเป็นหรือไม่ ถ้าเกิดว่าไปก็ควรรักษาให้หายดีก่อนตามคำที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

2.เมื่อตั้งครรภ์ก็ควรตรวจอีกครั้งว่าเป็นโลหิตจางหรือไม่ เพราะคนท้องส่วนใหญ่เลือดจะจางลงไปทำให้มีโอกาสเป็นได้ ดังนั้น แพทย์อาจจะทานอาหารเสริมที่ประกอบด้วยธาตุเหล็กและวิตามินที่จะช่วยได้ดีมาให้เรากิน

3.การกินอาหารในขณะท้องก็สามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้ อาหารที่ควรกินนั้นควรจะมีเหล่าธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบอยู่เยอะๆ อาทิเช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ทั้งหมู ไก่ ไข่ นม ทั้งนั้นแล้วปลาแต่ละชนิดและอาหารทะเลก็ได้เช่นกัน แล้วยังมีโปรตีนจากพืชอีกมากมายจากถั่วชนิดต่างๆ หรือว่า เต้าหู้ เป็นต้น เหล่าธัญพืชและผักผลไม่ก็ให้ธาตุเหล็กที่ร่างกายต้องการได้อย่างมากมาย และคนท้องอาจจะต้องกินอาหารที่มีกากใยร่วมไปด้วยเพราะจะช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดีเพราะธาตุเหล็กจะทำให้ถ่ายยากนั่นเอง

4.หลังคลอดนั้นคนท้องก็ยังเสี่ยงที่เป็นโรคโลหิตจางอยู่ วิธีที่แนะนำก็ควรรับประทานอาหารเสริมตามที่แพทย์แนะนำอยู่เสมอในระยะ 6 เดือนแรกหลังคลอด โดยหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและพักผ่อนอย่างเพียงพอทั้งนี้ก็เพื่อตัวเราและลูกน้อยให้ห่างกันจากการเป็นโรคโลหิตจางได้

โรคโลหิตจางเป็นโรคที่อันตรายต่อตัวเราและทารกที่อยู่ในครรภ์มาก ดังนั้น เมื่อรู้วิธีป้องกันแล้วก็ควรนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเพื่อหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด และถ้าเกิดเป็นขึ้นมานั้นก็ให้ทำตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook