จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่ "หม่อมปริม บุนนาค"

จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่ "หม่อมปริม บุนนาค"

จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่ "หม่อมปริม บุนนาค"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากเอ่ยชื่อของ "หม่อมปริม บุนนาค" เด็กสมัยใหม่เป็นต้องสงสัยไม่น้อยเพราะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่หากเป็นวัยกลางคนขึ้นไปโดยเฉพาะยิ่งเป็นคอภาพยนตร์สมัยก่อนด้วยแล้ว รับรองว่าต้องรู้จักอดีตนางเอกระดับตำนานของเมืองไทยคนนี้เป็นแน่

หม่อมปริม บุนนาค ในวัย 94 ปี

หม่อมปริม บุนนาค  เป็นธิดาพระยานิพัทธ์กุลพงศ์ (ชิน บุนนาค) กับคุณหญิงเปลื้อง บุนนาค เริ่มเข้าสู่วงการแสดงเมื่ออายุประมาณ 16 ปี โดยได้แสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง "วันเพ็ญ" เป็นภาพยนตร์ขาวดำ 35 มิลลิเมตร กำกับการแสดงโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่) ซึ่งประสบความสำเร็จมากสำหรับภาพยนตร์ไทยในสมัยนั้น

“พี่ชายต่างมารดา (คุณชินเล็ก บุนนาค) สบประมาทว่าเราเป็นเด็กกะโปโล จะเป็นนางเอกได้ยังไง ก็เลยแสดงให้ดูซะเลย” หม่อมปริมให้เหตุผลถึงที่มาที่ไปของการรับบทนางเอกตั้งแต่เรื่องแรกที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการแสดงเลย แต่เพื่อพิสูจน์ความสามารถให้พี่ชาย (คุณชาญ บุนนาค) ที่เป็นผู้กำกับได้เห็นจึงต้องยอมแสดง ซึ่งการเป็นนักแสดงในยุคนั้นแตกต่างจากปัจจุบันมาก

“ทำหนังแต่ละเรื่องเหนื่อยมาก ต้องนอนกลางดินกินกลางหญ้า ไฟดวงใหญ่เท่านี้” สองมือที่กางสุดแขนคือขนาดดวงไฟที่หม่อมปริมใช้บอกเรา “ตอนถ่ายเรื่องนเรศวรมหาราช ต้องเข้าไปอยู่ในป่า ขนแม่ครัว คนสวนไปด้วย ตื่นกันตั้งแต่ตี 4 หนาวก็หนาว ต้องจุดไฟตั้งปี๊บชงกาแฟดำกินแก้หนาว แล้วเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหาร ให้ค่าตัวคนละ 10 บาท พอเล่นเสร็จก็เรียงแถวจ่ายเงิน จ่ายปุ๊บหายกลับบ้านกันหมด รุ่งขึ้นต้องไปตามตัวกันมาใหม่ สุดท้ายเลยต้องแจกกระดาษให้มาขึ้นเงินทีหลัง แล้วเปิดแผ่นเสียงเป็นสัญญาณตามมาเข้าฉาก”

หม่อมปริม สมัยสาวๆ สวยคมอย่างกับ ออเดรย์ เฮปเบิร์น

หม่อมปริมรับบทเป็นนางเอกในภาพยนตร์เรื่องวันเพ็ญเพียงเรื่องเดียว ต่อมามีแสดงละครการกุศลให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมูลนิธิราชประชาสมาศัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากนั้นปีถัดมาก็ได้สมรสกับเสด็จพระองค์ชายใหญ่ และได้เปลี่ยนจากนักแสดงมาเป็นผู้ช่วยพระองค์แทน

จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่

เสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงประทับใจในหม่อมปริม ทั้งกิริยามารยาทที่เรียบร้อยและหน้าตาที่สวยคมเข้มตามแบบฉบับของชาวเปอร์เซียอันเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของสายสกุลบุนนาค พระองค์จึงทรงตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับหม่อมปริม หญิงสาวผู้มีวัยห่างจากพระองค์ 13 ปีด้วยความเต็มพระทัย

เสด็จพระองค์ชายใหญ่ครั้งเป็นพันเอกพิเศษ พระองค์ทรงให้หม่อมปริมไปถ่ายรูปคู่กัน

“พระองค์มีนิสัยดูแลใส่ใจผู้หญิง เป็นคนโรแมนติกมาก พูดจาไพเราะ คะ ขา เวลาคุยกันก็จะทรงตั้งนิกเนมให้” หม่อมปริมย้อนความรักครั้งแรกและครั้งเดียวของท่านด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มุมปากเช่นเคย “ทรงเรียกว่า "แบมบี้" ซึ่งเป็นชื่อกวางในการ์ตูน ท่านบอกเรียกเล็กไม่ได้ คนชื่อเล็กอายุสั้น แต่ตอนหลังก็เรียกสั้นๆ ว่า "บี๋" นี่คือเสน่ห์ประจำพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายใหญ่ แต่เหตุผลจริงๆ ที่หม่อมปริมยอมใจอ่อนรับรักบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้คือ

“ท่านรับปากว่าจะพาไปเที่ยวรอบโลก” หม่อมปริมตอบพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงตัวเองตอนวัยรุ่น “พอออกจากโรงเรียนผดุงดรุณี ได้เรียนกับมิชชันนารี ได้เรียนภาษาและพลอยกินอาหารฝรั่งเป็น ทุกวันนี้มื้อเช้ากินกาแฟ ขนมปัง ไข่ลวกบ้าง สแครมเบิลเอ้กบ้าง พอครูแหม่มกลับประเทศแล้ว คุณพ่อ (พระยานิพัทธ์กุลพงศ์ ชิน บุนนาค) ก็ให้อยู่บ้าน สอนให้ทำนั่นทำนี่ ความที่พ่อเป็นคนเนี้ยบ ไม่ชอบคนดัดจริต เราก็ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ท่านเคยชี้ให้ดูนักเรียนสาวๆ สมัยนั้นที่เดินคุยกันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แถมใส่เกือกผ้าใบดำสกปรก ว่าทำตัวแบบนี้ไม่ได้นะลูก ตัวเองเลยไม่ค่อยได้แต่งตัวสวยๆ ใส่แต่กางเกงเอี๊ยม ช่วยงานพ่อเสร็จแล้ว 5 โมงเย็นถึงออกไปเล่นได้ แต่สมัยนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวเล่น ก็เล่นกับเด็กรุ่นเดียวกันอยู่ในบ้าน เลยอยากไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านบ้าง เพราะสมัยนั้นการจะไปเมืองนอกไม่ได้ไปกันง่ายๆ เหมือนอย่างสมัยนี้”

เสด็จพระองค์ชายใหญ่กับคุณสุทิศา พัฒนุช อีกนางเอกดังแห่งยุค

เมื่อครั้งเสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงพาหม่อมปริมไปเที่ยวอินเดีย

แม้ต้องใช้เวลาอีกกว่า 20 ปี แต่สุดท้ายเสด็จพระองค์ชายใหญ่ก็ได้ทำตามสัญญา เพราะมีหม่อมทั้งสาวทั้งสวยก็ย่อมต้องหวงเป็นธรรมดา ที่ผ่านมาจึงทรงหาโน่นหานี่ให้หม่อมปริมทำอยู่บ้านเสมอ ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เรียนตัดเสื้อ เลี้ยงสัตว์

“ท่านเป็นคนรักสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์เผือก มีหมดตั้งแต่จระเข้ นกขุนทอง ลิง งู นอกจากนี้ก็ยังเลี้ยงเลียงผา นกกาเหล่า อีกา ปลาคราฟ หนูตะเภา ยังกับมีสวนสัตว์อยู่ที่บ้าน ทรงเลี้ยงนกขุนทองเผือกจนอ้วน ขนร่วง เพราะกินวิตามิน จนตกคอนตายไปเลย

กระทั่งครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงให้เสด็จพระองค์ชายใหญ่เป็นผู้แทนพระองค์ไปยังประเทศสวีเดน หม่อมปริมจึงได้บินตามไป “ไปถึงสนามบินก็ต่อแท็กซี่ไปหาท่านที่โรงแรมเองเลย นอกจากนั้นก็มีไปอินเดีย ญี่ปุ่น เยอรมนี และก็อีกหลายๆ ประเทศก็เกือบรอบโลกนะ ไปทีก็เกือบ 2 เดือน การเดินทางสมัยก่อนเหนื่อยมากแต่ก็สนุกดี จัดกระเป๋าเสร็จเดี๋ยวก็รื้อมาจัดใหม่ เพราะท่านขนของโน่นหอบของนี่กลับเมืองไทยเสมอ” สิ้นคำเล่าที่พรั่งพรูของหม่อมปริม คนฟังก็พลอยยิ้มและหัวเราะตามไปด้วย

เสด็จพระองค์ชายใหญ่ฉายพระรูปคู่กับหม่อมปริม

แม้จะวัยต่างกันหลายปี แต่ก็เป็นคู่ชีวิตที่ครองเรือนกันด้วยดี เคยมีคนกล่าวว่า เสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงรักหม่อมปริมมาก หากหม่อมปริมต้องร้องไห้เสียน้ำตา เป็นต้องประทานเพชรเพื่อปลอบขวัญ แต่ไหนแต่ไรก็โปรดที่จะทรงอุ้มหม่อมปริมนั่งตัก ทว่ากาลเวลาผันผ่าน หัวใจคนเราก็อาจเปลี่ยนแปลงตาม ความที่เสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ มีพระอัธยาศัยไมตรี และทรงแวดล้อมด้วยสตรีอยู่เป็นนิตย์ วันหนึ่งท่านสั่งทำสร้อยคอทองคำห้อยล็อกเก็ตรูปหัวใจฝังเพชร  จากนั้นทรงไปเอกซเรย์พระหทัย แล้วทรงนำฟิล์มเอกซเรย์นั้นใส่ในล็อกเก็ตประทานให้หม่อมปริม เพื่อแทนความรู้สึกและคำขอโทษในขณะเดียวกันว่า “ถึงตัวไกล หัวใจยังอยู่ที่นี่เสมอ”

ตำนานแห่งลูกชุบชาววังขนานแท้

ในวัยเยาว์หม่อมปริมเคยวิ่งเล่นอยู่ที่บ้านและอาศัยอยู่กับท่านเจ้าจอมพิศว์ ในรัชกาลที่ 5 ผู้มีศักดิ์เป็นย่าทวด เคยได้เป็นลูกมือทำงานฝีมือของลูกผู้หญิง ทั้งอาหารคาวหวาน แกะสลักผักผลไม้ ร้อยดอกไม้ วันหนึ่งคุณย่าแฝดซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันกำลังปั้นขนมลูกชุบอยู่ จึงหันมาถามหลานว่า "ปั้นได้ไหม" หม่อมปริมในวัย 12 ปีที่ยังไม่เคยปั้นเลยสักครั้ง ตอบด้วยความมั่นใจว่าปั้นได้ และยังเลือกปั้นทับทิมปอกเปลือกที่ถือว่าเป็นลูกชุบที่ปั้นยากมากอย่างหนึ่ง เพราะต้องปั้นทีละเม็ดแล้วนำไปติดให้เป็นลูกทับทิม ตั้งแต่นั้นมาการปั้นลูกชุบก็อยู่คู่หม่อมปริมมาตลอดจนถึงปัจจุบัน และขึ้นชื่อว่าเป็นขนมลูกชุบที่อร่อยและประณีตงดงามที่สุด

หม่อมปริม ยังคงมีความสุขกับการได้ออกแบบทรงผม เสื้อผ้าและเครื่องประดับด้วยตัวเองเหมือนเมื่อครั้งยังสาว

“ตอนนี้อายุ 94 ปี 5 เดือนแล้ว แต่ใครออเดอร์มา ก็ปั้น สมัยก่อนคนอื่นขายกันลูกละสลึง ของเราขายลูกละ 5 บาท ตอนนี้ขึ้นราคาลูกละ 7 บาทสำหรับลูกชุบผลไม้ ถ้าเป็นผักสวนครัวคิดลูกละ 10 บาท” หากใครได้เห็นหรือได้ชิมลูกชุบของหม่อมปริมล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยเกินราคามาก นอกจากรูปร่างภายนอกที่เหมือนผักผลไม้นั้นๆ แทบแยกของจริงกับลูกชุบไม่ออกแล้ว เพราะหม่อมปริมพิถีพิถันในการทำมาก หากเป็นผักสวนครัว เช่น มะเขือ พริกหยวก พริกชี้ฟ้า จะต้องปั้นให้มีขนาดเท่ากับขั้วและสมดุลกับก้าน เพราะเมื่อปั้นเสร็จแล้วจะต้องติดก้านและขั้วของจริงกลับไป “ลูกชุบของเราใส่มะพร้าวขูดผสมเข้าไปด้วย เพื่อให้เนื้อถั่วมีความกรุบ แต่ต้องเลือกร้านที่ขูดแต่มะพร้าวขาวๆ ไม่มีเปลือกกะลาติดมา กวนให้แห้งได้ที่แล้วถึงนำมาปั้น กวนถั่วกันวันต่อวัน เพราะไม่ใส่สารกันบูด ส่วนก้านผักที่นำมาใช้ก็ต้องแช่น้ำล้างยาฆ่าแมลงออกก่อน เคยมีคนมาสั่งที 2 พันลูก ปั้นกัน 3 วัน 2 คืน”

ขนมลูกชุบฝีมือของหม่อมปริม ที่พิถีพิถันทุกขั้นตอนการทำ

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมหม่อมปริมในวัยนี้ถึงต้องยังนั่งทำลูกชุบอยู่ หม่อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนตอบว่า “คนเราต้องมีอะไรทำนะ อย่าอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไปวันๆ เป็นคนไม่นอนกลางวัน จะนอนต่อเมื่อรู้สึกลุกไม่ไหวเท่านั้น แต่ถ้ามีแรงลุกขึ้นได้ก็ทำไปเรื่อย ไม่มีอะไรทำ ผ้าผืนนึงก็เช็ดขี้ละออง จัดบ้าน ชอบให้บ้านสะอาด” ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดลับอายุยืนของหม่อมปริมได้เลย

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่ "หม่อมปริม บุนนาค"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook