จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่ "หม่อมปริม บุนนาค"
หากเอ่ยชื่อของ "หม่อมปริม บุนนาค" เด็กสมัยใหม่เป็นต้องสงสัยไม่น้อยเพราะเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่หากเป็นวัยกลางคนขึ้นไปโดยเฉพาะยิ่งเป็นคอภาพยนตร์สมัยก่อนด้วยแล้ว รับรองว่าต้องรู้จักอดีตนางเอกระดับตำนานของเมืองไทยคนนี้เป็นแน่
หม่อมปริม บุนนาค เป็นธิดาพระยานิพัทธ์กุลพงศ์ (ชิน บุนนาค) กับคุณหญิงเปลื้อง บุนนาค เริ่มเข้าสู่วงการแสดงเมื่ออายุประมาณ 16 ปี โดยได้แสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง "วันเพ็ญ" เป็นภาพยนตร์ขาวดำ 35 มิลลิเมตร กำกับการแสดงโดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล (เสด็จพระองค์ชายใหญ่) ซึ่งประสบความสำเร็จมากสำหรับภาพยนตร์ไทยในสมัยนั้น
“พี่ชายต่างมารดา (คุณชินเล็ก บุนนาค) สบประมาทว่าเราเป็นเด็กกะโปโล จะเป็นนางเอกได้ยังไง ก็เลยแสดงให้ดูซะเลย” หม่อมปริมให้เหตุผลถึงที่มาที่ไปของการรับบทนางเอกตั้งแต่เรื่องแรกที่ยังไม่มีประสบการณ์ด้านการแสดงเลย แต่เพื่อพิสูจน์ความสามารถให้พี่ชาย (คุณชาญ บุนนาค) ที่เป็นผู้กำกับได้เห็นจึงต้องยอมแสดง ซึ่งการเป็นนักแสดงในยุคนั้นแตกต่างจากปัจจุบันมาก
“ทำหนังแต่ละเรื่องเหนื่อยมาก ต้องนอนกลางดินกินกลางหญ้า ไฟดวงใหญ่เท่านี้” สองมือที่กางสุดแขนคือขนาดดวงไฟที่หม่อมปริมใช้บอกเรา “ตอนถ่ายเรื่องนเรศวรมหาราช ต้องเข้าไปอยู่ในป่า ขนแม่ครัว คนสวนไปด้วย ตื่นกันตั้งแต่ตี 4 หนาวก็หนาว ต้องจุดไฟตั้งปี๊บชงกาแฟดำกินแก้หนาว แล้วเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นทหาร ให้ค่าตัวคนละ 10 บาท พอเล่นเสร็จก็เรียงแถวจ่ายเงิน จ่ายปุ๊บหายกลับบ้านกันหมด รุ่งขึ้นต้องไปตามตัวกันมาใหม่ สุดท้ายเลยต้องแจกกระดาษให้มาขึ้นเงินทีหลัง แล้วเปิดแผ่นเสียงเป็นสัญญาณตามมาเข้าฉาก”
หม่อมปริมรับบทเป็นนางเอกในภาพยนตร์เรื่องวันเพ็ญเพียงเรื่องเดียว ต่อมามีแสดงละครการกุศลให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมูลนิธิราชประชาสมาศัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากนั้นปีถัดมาก็ได้สมรสกับเสด็จพระองค์ชายใหญ่ และได้เปลี่ยนจากนักแสดงมาเป็นผู้ช่วยพระองค์แทน
จากนางเอกสู่หม่อมในเสด็จพระองค์ชายใหญ่
เสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงประทับใจในหม่อมปริม ทั้งกิริยามารยาทที่เรียบร้อยและหน้าตาที่สวยคมเข้มตามแบบฉบับของชาวเปอร์เซียอันเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของสายสกุลบุนนาค พระองค์จึงทรงตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับหม่อมปริม หญิงสาวผู้มีวัยห่างจากพระองค์ 13 ปีด้วยความเต็มพระทัย
“พระองค์มีนิสัยดูแลใส่ใจผู้หญิง เป็นคนโรแมนติกมาก พูดจาไพเราะ คะ ขา เวลาคุยกันก็จะทรงตั้งนิกเนมให้” หม่อมปริมย้อนความรักครั้งแรกและครั้งเดียวของท่านด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มุมปากเช่นเคย “ทรงเรียกว่า "แบมบี้" ซึ่งเป็นชื่อกวางในการ์ตูน ท่านบอกเรียกเล็กไม่ได้ คนชื่อเล็กอายุสั้น แต่ตอนหลังก็เรียกสั้นๆ ว่า "บี๋" นี่คือเสน่ห์ประจำพระองค์ของเสด็จพระองค์ชายใหญ่ แต่เหตุผลจริงๆ ที่หม่อมปริมยอมใจอ่อนรับรักบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้คือ
“ท่านรับปากว่าจะพาไปเที่ยวรอบโลก” หม่อมปริมตอบพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงตัวเองตอนวัยรุ่น “พอออกจากโรงเรียนผดุงดรุณี ได้เรียนกับมิชชันนารี ได้เรียนภาษาและพลอยกินอาหารฝรั่งเป็น ทุกวันนี้มื้อเช้ากินกาแฟ ขนมปัง ไข่ลวกบ้าง สแครมเบิลเอ้กบ้าง พอครูแหม่มกลับประเทศแล้ว คุณพ่อ (พระยานิพัทธ์กุลพงศ์ ชิน บุนนาค) ก็ให้อยู่บ้าน สอนให้ทำนั่นทำนี่ ความที่พ่อเป็นคนเนี้ยบ ไม่ชอบคนดัดจริต เราก็ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ท่านเคยชี้ให้ดูนักเรียนสาวๆ สมัยนั้นที่เดินคุยกันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แถมใส่เกือกผ้าใบดำสกปรก ว่าทำตัวแบบนี้ไม่ได้นะลูก ตัวเองเลยไม่ค่อยได้แต่งตัวสวยๆ ใส่แต่กางเกงเอี๊ยม ช่วยงานพ่อเสร็จแล้ว 5 โมงเย็นถึงออกไปเล่นได้ แต่สมัยนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวเล่น ก็เล่นกับเด็กรุ่นเดียวกันอยู่ในบ้าน เลยอยากไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านบ้าง เพราะสมัยนั้นการจะไปเมืองนอกไม่ได้ไปกันง่ายๆ เหมือนอย่างสมัยนี้”
แม้ต้องใช้เวลาอีกกว่า 20 ปี แต่สุดท้ายเสด็จพระองค์ชายใหญ่ก็ได้ทำตามสัญญา เพราะมีหม่อมทั้งสาวทั้งสวยก็ย่อมต้องหวงเป็นธรรมดา ที่ผ่านมาจึงทรงหาโน่นหานี่ให้หม่อมปริมทำอยู่บ้านเสมอ ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เรียนตัดเสื้อ เลี้ยงสัตว์
“ท่านเป็นคนรักสัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์เผือก มีหมดตั้งแต่จระเข้ นกขุนทอง ลิง งู นอกจากนี้ก็ยังเลี้ยงเลียงผา นกกาเหล่า อีกา ปลาคราฟ หนูตะเภา ยังกับมีสวนสัตว์อยู่ที่บ้าน ทรงเลี้ยงนกขุนทองเผือกจนอ้วน ขนร่วง เพราะกินวิตามิน จนตกคอนตายไปเลย
กระทั่งครั้งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงให้เสด็จพระองค์ชายใหญ่เป็นผู้แทนพระองค์ไปยังประเทศสวีเดน หม่อมปริมจึงได้บินตามไป “ไปถึงสนามบินก็ต่อแท็กซี่ไปหาท่านที่โรงแรมเองเลย นอกจากนั้นก็มีไปอินเดีย ญี่ปุ่น เยอรมนี และก็อีกหลายๆ ประเทศก็เกือบรอบโลกนะ ไปทีก็เกือบ 2 เดือน การเดินทางสมัยก่อนเหนื่อยมากแต่ก็สนุกดี จัดกระเป๋าเสร็จเดี๋ยวก็รื้อมาจัดใหม่ เพราะท่านขนของโน่นหอบของนี่กลับเมืองไทยเสมอ” สิ้นคำเล่าที่พรั่งพรูของหม่อมปริม คนฟังก็พลอยยิ้มและหัวเราะตามไปด้วย
แม้จะวัยต่างกันหลายปี แต่ก็เป็นคู่ชีวิตที่ครองเรือนกันด้วยดี เคยมีคนกล่าวว่า เสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงรักหม่อมปริมมาก หากหม่อมปริมต้องร้องไห้เสียน้ำตา เป็นต้องประทานเพชรเพื่อปลอบขวัญ แต่ไหนแต่ไรก็โปรดที่จะทรงอุ้มหม่อมปริมนั่งตัก ทว่ากาลเวลาผันผ่าน หัวใจคนเราก็อาจเปลี่ยนแปลงตาม ความที่เสด็จพระองค์ชายใหญ่ทรงเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ มีพระอัธยาศัยไมตรี และทรงแวดล้อมด้วยสตรีอยู่เป็นนิตย์ วันหนึ่งท่านสั่งทำสร้อยคอทองคำห้อยล็อกเก็ตรูปหัวใจฝังเพชร จากนั้นทรงไปเอกซเรย์พระหทัย แล้วทรงนำฟิล์มเอกซเรย์นั้นใส่ในล็อกเก็ตประทานให้หม่อมปริม เพื่อแทนความรู้สึกและคำขอโทษในขณะเดียวกันว่า “ถึงตัวไกล หัวใจยังอยู่ที่นี่เสมอ”
ตำนานแห่งลูกชุบชาววังขนานแท้
ในวัยเยาว์หม่อมปริมเคยวิ่งเล่นอยู่ที่บ้านและอาศัยอยู่กับท่านเจ้าจอมพิศว์ ในรัชกาลที่ 5 ผู้มีศักดิ์เป็นย่าทวด เคยได้เป็นลูกมือทำงานฝีมือของลูกผู้หญิง ทั้งอาหารคาวหวาน แกะสลักผักผลไม้ ร้อยดอกไม้ วันหนึ่งคุณย่าแฝดซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันกำลังปั้นขนมลูกชุบอยู่ จึงหันมาถามหลานว่า "ปั้นได้ไหม" หม่อมปริมในวัย 12 ปีที่ยังไม่เคยปั้นเลยสักครั้ง ตอบด้วยความมั่นใจว่าปั้นได้ และยังเลือกปั้นทับทิมปอกเปลือกที่ถือว่าเป็นลูกชุบที่ปั้นยากมากอย่างหนึ่ง เพราะต้องปั้นทีละเม็ดแล้วนำไปติดให้เป็นลูกทับทิม ตั้งแต่นั้นมาการปั้นลูกชุบก็อยู่คู่หม่อมปริมมาตลอดจนถึงปัจจุบัน และขึ้นชื่อว่าเป็นขนมลูกชุบที่อร่อยและประณีตงดงามที่สุด
“ตอนนี้อายุ 94 ปี 5 เดือนแล้ว แต่ใครออเดอร์มา ก็ปั้น สมัยก่อนคนอื่นขายกันลูกละสลึง ของเราขายลูกละ 5 บาท ตอนนี้ขึ้นราคาลูกละ 7 บาทสำหรับลูกชุบผลไม้ ถ้าเป็นผักสวนครัวคิดลูกละ 10 บาท” หากใครได้เห็นหรือได้ชิมลูกชุบของหม่อมปริมล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยเกินราคามาก นอกจากรูปร่างภายนอกที่เหมือนผักผลไม้นั้นๆ แทบแยกของจริงกับลูกชุบไม่ออกแล้ว เพราะหม่อมปริมพิถีพิถันในการทำมาก หากเป็นผักสวนครัว เช่น มะเขือ พริกหยวก พริกชี้ฟ้า จะต้องปั้นให้มีขนาดเท่ากับขั้วและสมดุลกับก้าน เพราะเมื่อปั้นเสร็จแล้วจะต้องติดก้านและขั้วของจริงกลับไป “ลูกชุบของเราใส่มะพร้าวขูดผสมเข้าไปด้วย เพื่อให้เนื้อถั่วมีความกรุบ แต่ต้องเลือกร้านที่ขูดแต่มะพร้าวขาวๆ ไม่มีเปลือกกะลาติดมา กวนให้แห้งได้ที่แล้วถึงนำมาปั้น กวนถั่วกันวันต่อวัน เพราะไม่ใส่สารกันบูด ส่วนก้านผักที่นำมาใช้ก็ต้องแช่น้ำล้างยาฆ่าแมลงออกก่อน เคยมีคนมาสั่งที 2 พันลูก ปั้นกัน 3 วัน 2 คืน”
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมหม่อมปริมในวัยนี้ถึงต้องยังนั่งทำลูกชุบอยู่ หม่อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนตอบว่า “คนเราต้องมีอะไรทำนะ อย่าอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไปวันๆ เป็นคนไม่นอนกลางวัน จะนอนต่อเมื่อรู้สึกลุกไม่ไหวเท่านั้น แต่ถ้ามีแรงลุกขึ้นได้ก็ทำไปเรื่อย ไม่มีอะไรทำ ผ้าผืนนึงก็เช็ดขี้ละออง จัดบ้าน ชอบให้บ้านสะอาด” ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดลับอายุยืนของหม่อมปริมได้เลย
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ