เอาใจไปเลย! 10 วิธีเลี้ยงลูกฉบับ "สู่ขวัญ บูลกุล"
ขึ้นแท่นเซเลบริตี้ขวัญใจคนทุกเพศทุกวัยไปแล้วสำหรับ คุณสู่ขวัญ บูลกุล ที่หลายคนตกหลุมรักไลฟ์สไตล์รวมทั้งอัธยาศัยที่น่ารักของเธอเข้าอย่างจัง
แต่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราเห็นภายนอกเพียงเท่านั้น หากได้ลองสัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงของคุณสู่ขวัญ เธอคือผู้หญิงเก่งที่มีแนวคิดไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน 'น้องปราบ บูลกูล' ซึ่งตอนนี้เริ่มก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว HELLO! จึงขอนำส่วนหนึ่งในเคล็ดลับการเลี้ยงลูกแบบคุณแม่สมัยใหม่มาฝากกัน กับ 10 วิธีเลี้ยงลูกฉบับสู่ขวัญ บูลกุล
1.“พอลูกเริ่มโตเป็นวัยรุ่น ขวัญว่าการใช้อารมณ์ไม่ใช่ทางออกแล้วล่ะ ตอนเด็กๆ เราดุเขาเขาอาจจะกลัว แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ส่วนใหญ่เราใช้วิธีคุยทั้งหมด ซึ่งพี่โชค (โชค บูลกูล) มีส่วนช่วยเลี้ยงเยอะมาก ขวัญเป็นเด็กผู้หญิงที่โตเมืองไทยมาตลอด อยู่ในโอวาท พ่อสั่งให้ทำอะไรต้องทำ แต่พี่โชคเขาสิบขวบสิบเอ็ดขวบก็ไปเมืองนอกแล้ว ฉะนั้นเขาอิสระกว่าเราเยอะ ทีนี้พอเป็นปราบ แม่สั่งให้เขาทำ แต่พี่โชคไม่เลย เขาจะไม่หงุดหงิดใส่ลูก ลูกไม่ทำเดี๋ยวเขาก็เดินไปโน่นไปนี่ คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้วค่อยๆวกให้ลูกคิดเอง พี่โชคจะเก่งเรื่องนี้”
2.“ขวัญมีความรู้สึกว่าการที่เราจะบังคับลูกเพื่อให้มีการศึกษาที่ดีเลิศมันเหนื่อย สิ่งที่เรากับลูกจะสูญเสียไปมันมากกว่าสิ่งที่เราจะได้มา เราอาจจะได้ A หลายตัว แต่สิ่งที่เรากับลูกต้องเผชิญคือความตึงเครียด ความกดดัน หรือการที่เขาพลาดในการที่จะค้นหาความสามารถด้านอื่นของตัวเองที่อาจไม่ใช่การเรียน มันเสียหายมากกว่า ในความรู้สึกขวัญคนเดียวเลยนะคะ ไม่สามารถเอาไปเทียบกับคนอื่นได้” เธอย้ำในความคิดของตัวเอง และบอกว่าขณะเดียวกันในความเป็นแม่ก็ต้องคอยดูว่าลูกชอบหรือสนใจอะไร และเปิดโอกาสให้เขาได้ไปทางนั้น”
3.“พี่โชคไม่เชื่อเรื่องการส่งลูกไปเรียนสิ่งใดที่ไม่เกิดจากความต้องการของลูก เขาบอกว่าถ้าลูกสนใจ แม้ไม่ต้องเรียนเขาก็ทำได้ เขาจะเป็นแบบเอาลูกไปอยู่ฟาร์มไม่ดีกว่าเหรอ ให้ธรรมชาติบันดาลใจ พี่โชคเชื่อว่าแรงบันดาลใจสำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะส่งลูกไปเรียนภาษาอังกฤษ เรียนเลข วิทย์ ไม่อยู่ในความคิดเลย ยกเว้นมีครั้งหนึ่งครูที่สาธิตเกษตรเรียกผู้ปกครองไปพบ ...คุณแม่คะ น้องปราบส่งกระดาษเปล่าในวิชาเลข ทำยังไงดีคะ เราก็โอเค รับทราบ ถึงขั้นส่งกระดาษเปล่าก็ไม่ไหวแล้ว ต้องจัดการ
“เลยมาคุยกับพี่โชคว่า จะให้ลูกรู้สึกว่าเขาอยู่อย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้ ดังนั้นผลของการส่งกระดาษเปล่าคือการถูกลิดรอนอิสรภาพ จับเรียนพิเศษ นี่คือเหตุและผลว่า ถ้าตั้งใจเรียน ตั้งใจสอบ ก็จะไม่เกิดสิ่งนี้ วันเสาร์เป็นวันที่ปราบสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ปราบได้ศูนย์เลยนะลูก แม่ก็ต้องจับให้เรียนพิเศษ ก็เรียนอยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้คะแนนเต็มมา แล้วเขาก็บอกกับเราว่า เขาเลิกเรียนได้รึยัง เราก็โอเค สมเหตุผล ย้ำกับเขาว่าถ้าตั้งใจเรียน สอบได้โอเค ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้เรียนพิเศษ แต่ถ้ามาศูนย์แบบนี้ ปราบก็ต้องเข้าใจนะว่าแม่ก็ต้องทำหน้าที่ของแม่เหมือนกัน เขาก็ยอมรับ”
4.“เรื่องมารยาทนี่แน่นอน ขวัญเคยบอกเขามาตั้งแต่เด็กแล้วว่า แม่จะตีปราบในสองกรณีคือ หนึ่ง ไม่รับผิดชอบ สอง ไม่มีมารยาท เพราะสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แม่รับไม่ได้ คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ มันทำอะไรไม่ได้เลยในชีวิต มันคือคนล้มเหลวตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะทำอะไรในชีวิตก็ไม่สำเร็จ สอง ไม่มีมารยาท สิ่งนี้เข้าสังคมไหนไม่ได้เลย เป็นที่รังเกียจของทุกสังคม แม้กระทั่งสังคมของคนไม่ดีเขาก็รังเกียจ เพราะฉะนั้นชัดเจนตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าสองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่”
5.“เขาเคยโดนตีค่ะ ตอนนั้นเขายังเด็กเชียว เหมือนแม่ห้ามอะไรสักอย่างแล้วเขากระทืบเท้าเขวี้ยงของ แต่ขวัญก็บอกเขาว่าเวลาแม่ตีแม่ใช้มือไม่ใช้ไม้ ปราบเจ็บแม่เจ็บเหมือนกัน แต่แม่จำเป็นต้องบอกให้ปราบรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่แม่รับไม่ได้และไม่มีใครรับได้ มารยาทสำคัญมากๆ”
6.“เราอยากให้ลูกเราเหยียบขี้ไก่ฝ่อ ให้เขารู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ แล้วอีกอย่างก็ต้องยอมรับว่าปราบเป็นเด็กที่เกิดมามีฐานะโดยกำเนิด สิ่งที่ไม่อยากเห็นเลยคือเขามีความรู้สึกว่ามีตังค์แล้วไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ขวัญกับพี่โชคคิดเหมือนกันคือคนที่เกิดมาแม้จะมีเงินเยอะ แต่ไม่เห็นคุณค่าของเงินและใช้เงินไม่เป็นมันน่าสงสาร ก็เหมือนกับไม่ได้เกิดมาพร้อมสิทธิพิเศษอะไรในชีวิตเลยเพราะสิ่งที่มีนั้นไม่ได้ถูกมองว่ามีคุณค่า เรารู้สึกว่าการทำงานและเห็นคุณค่าของตัวเองต่างหากที่ทำให้เราเคารพตัวเอง ฉะนั้นคนที่จะเคารพตัวเองได้ แล้วมีความสุขกับตัวเองได้ ก็คือต้องทำงาน ขวัญว่าสิ่งที่ขวัญกับพี่โชคทำอย่างน้อยต้องติดอยู่ในใจลูกว่าเราต้องทำงาน เราต้องสร้างคุณค่าอะไรบางอย่างของตัวเราขึ้นมา โดยที่ไม่ต้องมานั่งพูดกัน”
7.“บางทีเวลานั่งทานข้าวกันเราก็จะแอบชื่นชมพ่อ จริงๆ คือสอนเขานั่นแหละ ตอนนี้พ่อเขาไปทำนี่แล้วนะ ดีนะลูก แล้วความภูมิใจจะเกิดกับเขาเอง ขวัญว่าต่อให้เด็กแค่ไหนเขาก็สัมผัสความรู้สึกนั้นได้ จากรอยยิ้ม จากแววตาแม่เวลาพูดถึงพ่อ แต่เด็กบางคนเรียนรู้ไม่เหมือนกัน ไม่ได้ว่าถูกหรือผิด เด็กบางคนอาจจะรับได้เลยจากการพูดหรือสอน เพียงแต่ว่ากับลูกขวัญเขาต้องใช้วิธีนี้”
8.“ขวัญไม่อยากพูดว่าเลี้ยงลูกต้องเลี้ยงยังไง เพราะเด็กทุกคนไม่เหมือนกัน แล้วคนที่จะรู้จักลูกดีที่สุดก็คือตัวคุณพ่อคุณแม่เอง เราก็มีแนวทางในการที่จะคุยกับลูกหรือสอนลูก ซึ่งมันก็อาจจะไม่ใช่แนวทางเดียวกับคุณพ่อคุณแม่คนอื่น เพราะเด็กแต่ละคนบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน การเรียนรู้ การรับรู้ ทัศนคติไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเราใช้วิธีเดียวกันทั้งหมดไม่ได้”
9.“การเลี้ยงลูกขวัญว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสัญชาตญาณ และไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เราใช้เวลาพิจารณาลูก นึกถึงตัวลูก นึกถึงตัวเรา ขวัญมั่นใจว่าเด็กไม่มีทางห่างจากพ่อจากแม่ไปได้ไกล ถ้าเด็กคนนั้นเป็นเด็กที่เราเลี้ยงมาแบบอยู่กับเรา เขาจะไปเรียนรู้ที่ไหนล่ะ เขาก็เรียนรู้จากเรานั่นแหละ”
10.“โดยความคิดส่วนตัวขวัญเอง สิ่งที่ดีที่สุดที่คนคนหนึ่งเป็นได้ก็คือเป็นตัวของตัวเองในแบบที่ดีที่สุด ขวัญจึงไม่เคยคาดหวังว่าลูกต้องมีอาชีพอะไร ต้องประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ต้องดูแลธุรกิจครอบครัว ในฐานะที่เป็นแม่คน เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราอยากเห็นลูกเรามีความสุขและพึ่งพาตัวเองได้ คนที่โชคดีที่สุดไม่ใช่คนที่มีสตางค์ที่สุดหรือมีชื่อเสียงที่สุด แต่คนที่โชคดีคือคนที่รู้ว่าแพชชั่นของตัวเองคืออะไร แล้วสามารถใช้ชีวิตอยู่กับแพชชั่นนั้น ใช้แพชชั่นนั้นเลี้ยงดูตัวเองได้”
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ