"เฌอปราง อารีย์กุล" ไอดอลนักวิทยาศาสตร์แห่ง BNK48
เพลงคุกกี้เสี่ยงทายกลายเป็นดังทะยานสู่ร้อยล้านวิวภายในเวลา 4 เดือน ดังเสียจนคนที่ไม่รู้จักวัฒนธรรมไอดอลก็ยังต้องรู้จัก BNK48 เฌอปราง อารีย์กุล สาวน้อยวัย 21 ปีรับหน้าที่เป็น กัปตันและสมาชิกในวงมีคิวงานแน่นทุกวัน ในขณะที่ยังอยู่ในวัยเรียนกันทุกคน ชีวิตไอดอลไม่ได้ง่าย แต่ชื่อเสียงก็ไม่ได้มีเบื้องหลังที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“การได้ทำ BNK48 ไม่ได้มาง่ายๆนะคะ แต่เราต้องบอกตัวเองว่าเรากำลังทำในสิ่งที่เราชอบอยู่แล้ว และเราก็ได้ช่วยส่งเสริมคอนเซ็ปต์ใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการดนตรีเมืองไทย ซึ่งพวกเราดังเร็วกว่าที่คิดไว้มากค่ะ ถ้าเทียบกันแล้ว AKB48 กว่าจะดังที่ญี่ปุ่นได้ก็ใช้เวลา 5-6 ปี แต่ด้วยความที่เรามีฐานเสียงจาก AKB48 เราเป็นวงน้องสาวที่รับรูปแบบมาจากวงรุ่นพี่ไอดอลญี่ปุ่น เลยกลายเป็นความแปลกใหม่ในเมืองไทยที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน พวกเราเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่นที่จะฉายเดี่ยวกันขนาดนั้น แต่เวลาที่เราอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เราสามารถรวมพลังกันแล้วทำบางอย่างให้เกิดขึ้นมาได้ นั่นคือความภูมิใจของเราค่ะ”
ด้วยเพลงดังระดับร้อยล้านวิวที่ทำให้คนไทยทั้งร้องเล่นเต้นท่าคุกกี้เสี่ยงทายกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง สาวเฌอปรางจึงต้องทำงานหนักควบคู่ไปกับการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์สุดโปรดที่มหาวิทยาลัยนานาชาติมหิดล หนักทั้งเรียนและทำงานแต่ ‘กัปตันเฌอ’ ขอสู้ตายเพื่อทำความฝันไอดอลและนักวิทยาศาสตร์ให้เป็นจริง
“ตอนเด็กๆ เฌอโตมาแบบธรรมดามากๆเลยค่ะ” เฌอปรางให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงสดใสยามดึก เพราะเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจรับรางวัลในนามวง BNK48 “เฌอเรียนโรงเรียนไทยมาโดยตลอด เรียนไปตามระบบโดยที่ไม่รู้ว่าชอบอะไร อยากเป็นอะไร แต่เฌอโชคดีที่ได้คุยกับคุณแม่ ท่านก็บอกว่าจบปริญญาตรีมาโดยไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรเหมือนกัน ช่วงมัธยมเฌอเลยเปลี่ยนไปเข้าโรงเรียนทางเลือกเพราะอยากหาตัวเองให้เจอจริงๆ ช่วงม.1 - ม.6 เฌอเรียนที่โรงเรียนรุ่งอรุณ เพราะชอบคอนเซ็ปต์ของโรงเรียนนี้ที่เน้นการเรียนเพื่อใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบ ที่นี่เฌอได้เปิดโอกาสตัวเองทดลองอะไรหลายๆอย่างค่ะ”
จากนักเรียนที่ไม่มีวิชาโปรด แต่เมื่อเจอบรรยากาศการเรียนการสอนที่เปิดให้คิดและทดลองด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ได้ค้นพบวิชาที่ชอบ แต่ถึงขั้นมองไกลไปถึงอาชีพที่อยากทำในอนาคตเลยด้วยซ้ำ
“เฌอชอบสายวิทย์มากกว่า เพราะรู้สึกว่ามีหัวถนัดทางด้านเลขและวิทยาศาสตร์มากกว่าวิชาสายศิลป์ ที่สำคัญคือมีคุณครูที่เป็นแรงบันดาลใจให้เฌออยากเป็นครูและเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยค่ะ เฌอสนุกกับการทดลอง ชอบที่ได้ลงมือทำจริงๆ”
ไอดอลนักวิทยาศาสตร์แห่ง BNK48 ยังบอกด้วยว่าการรู้ความชอบของตัวเอง แล้วตั้งเข็มทิศมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ชอบให้สุดตัวไปเลย ทำให้เธอไม่เหนื่อยแม้จะเจอความเหนื่อยยากระหว่างทางก็ตาม
“ในความคิดเฌอนะคะ รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเหนื่อยเท่าเพื่อนหลายๆคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แล้วผ่านการสอบยากๆมาได้ แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆกลับไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบเลยด้วยซ้ำ เฌอคิดว่าการเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนเราต้องเรียนในสิ่งที่เราค้นหามาทั้งชีวิต หรือเรียนในสิ่งที่เราตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับมันไปทั้งชีวิต ฉะนั้นเฌอไม่ค่อยเหนื่อยเลยกับการเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ไม่เต็มที่กับการสอบหรือไม่ตั้งใจเรียนนะคะ แต่เพราะเฌอมุ่งมั่นที่จะเรียนภาคอินเตอร์มากๆ”
กัปตันเฌออธิบายตัวเองว่าเป็นคนอยู่เฉยไม่เป็น เพราะตั้งแต่เด็กแล้วที่เรียนไปทำกิจกรรมควบคู่กันไปมาตลอด
“เฌอจะพยายามไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไป ตอนเด็กๆเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งจริงๆแล้วเฌอก็ไม่ได้ถนัดสายเต้นอะไรเลย แต่เพื่อนๆเลือกให้เราเป็นเชียร์ลีดเดอร์และดรัมเมเยอร์มาทุกปี หล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่อยู่นิ่งๆไม่ได้ เป็นคนที่ชอบมองนู่นดูนี่ตลอดเวลาค่ะ อยากรู้ว่าเขาทำอะไรกัน อยากเข้าไปทำด้วย แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีกิจกรรมเพราะเปลี่ยนสังคมใหม่ เฌอก็อยู่เฉยไม่เป็น เลยเริ่มหาอะไรทำ เป็นจุดเริ่มต้นที่หันมาสนใจคอสเพลย์ ซึ่งจุดประกายให้เริ่มรักสวยรักงาม หัดแต่งหน้าแต่งตัว แต่ก่อนเฌอใส่แว่นเชยๆเป็นคุณป้ามากเลยค่ะ พอช่วงปี 2 - ปี 3 เฌอไปช่วยอาจารย์ทำวิจัยในแล็บ ต่อจากนั้นก็ได้มาเป็น BNK48 เป็นคนที่ทำอะไรอย่างเดียวไม่ได้จริงๆค่ะ” นักร้องสายวิทย์พูดพลางหัวเราะเบาๆ
เมื่อทบทวนตัวเองว่ากิจกรรมนอกห้องเรียนทั้งหมดที่ทำมา เธอบอกว่าประโยชน์ที่ได้รับโดยตรง คือช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงและหล่อหลอมให้เป็นเฌอปรางทุกวันนี้
“ทุกอย่างที่เฌอทำมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยากทำหรือไม่อยากทำ มันทำให้เฌอเจอประสบการณ์ใหม่ๆมากกว่าคนอื่น เฌอได้รู้ว่างานเบื้องหลังมีวิธีการทำงานยังไง เฌอเคยวิ่งเตรียมงานอาคารใหญ่มหิดลมาแล้ว กลายเป็นว่าเรามีประสบการณ์ที่ปัจจุบันนี้ทำให้เราพอจะช่วยคนเบื้องหลังที่ทำงานกับเราได้บ้าง เหมือนที่ผ่านมาเฌอเรียนรู้งานเบื้องหลัง แล้วตอนนี้เฌอกำลังเรียนรู้การทำงานเบื้องหน้า เฌอคิดว่ากิจกรรมนอกห้องเรียนช่วยฝึกทักษะบางอย่างที่ถ้าไม่ได้ลงมือทำเองก็จะไม่รู้และไม่มีใครสอนเราได้ค่ะ วิชาวิทยาศาสตร์ปลูกฝังให้เราอยากรู้อะไรก็ลองทำเอง กลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราทำแทบจะทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเลยค่ะ เพราะเราถูกปลูกฝังความคิดมาแบบนี้”
ด้วยความที่คลุกคลีกับวิชาสายวิทย์ เฌอปรางจึงเห็นความสำคัญของ STEM สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ ที่แวดวงการศึกษาทำนายกันว่าจะเป็นวิชาที่จำเป็นที่สุดในศตวรรษที่ 21
“เฌอโชคดีที่เจอครูที่มีวิธีการสอนเรื่องยากให้เข้าใจง่าย ทำให้ประสบการณ์แรกในการเรียนวิทยาศาสตร์ของเราเป็นความสนุก ตอนนี้เฌอมองว่าประเทศไทยยังขาดบุคลากรด้าน STEM ที่จะสื่อสารกับเยาวชน บางทีเราเจออาจารย์ที่เก่งมากๆ แต่ถ่ายทอดไม่เป็น ก็ทำให้นักเรียนไม่เข้าใจแล้วไม่สนุกกับการเรียน แต่ที่ผ่านมาเฌอเจอคุณครูที่พร้อมลุย พยายามทำสรุปย่อ ย่อยข้อมูลให้เข้าใจง่ายที่สุดให้นักเรียน หรือเด็กยุคนี้ที่ชอบเล่นเกม เฌอก็มองว่ามีประโยชน์นะคะ เพราะเขามีแพชชั่นกับเกม อยากรู้ว่าคนทำเกมเขาคิดกันอย่างไร ทำยังไงถึงออกมาเป็นเกมที่คนติดกันทั้งโลกได้ จนไปศึกษาด้านนี้เลยก็มี อย่างเพื่อนเฌอเก่งคอมพิวเตอร์มากๆ ทุกวันนี้เป็นนักพัฒนาแอพตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ อายุเท่าเฌอแต่เปิดบริษัทของตัวเองแล้ว มีรายได้หลักล้าน มีคนเชิญไปบรรยาย ซึ่งเกิดจากการที่เราสนุกไปกับมัน ถ้าเราได้อยู่กับสิ่งที่ชอบ ก็ช่วยให้ไปได้สุดทางเหมือนกันค่ะ”