ฟังจากปากคุณแม่…เลี้ยงอย่างไรให้ลูกเป็นแบบ "หมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์"
ถ้าพูดชื่อของผู้หญิงคนนี้หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่หากบอกว่าวันนี้ HELLO! จะมาพูดคุยกับ 'คุณแม่เม วินิตตา ก้องธรนินทร์' คุณแม่สุดแซบของ นางสาวไทยปี 2549 แถมพ่วงดีกรีคุณหมอมาด้วย ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน 'คุณหมอเจี๊ยบ ลลนา ก้องธรนินทร์' นั่นเอง นอกจากลูกสาวอย่างหมอเจี๊ยบแล้วนั้น คุณแม่เมยังเป็นแม่ของ 'คุณวิตต์ ก้องธรนินทร์' เด็กหนุ่มผู้เคยคว้าเงินล้านจากรายการอัจฉริยะข้ามคืน รวมถึง 'คุณพราว ก้องธรนินทร์' อดีตผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษรายการ Newsline อีกด้วย
พูดแบบนี้แล้วเชื่อว่าหลายๆคนคงอยากรู้จัก 'คุณแม่เม-วินิตตา ก้องธรนินทร์' กันแล้วใช่ไหมคะ ที่สำคัญคือ เธอมีเทคนิค หรือเคล็ดลับอะไรในการเลี้ยงลูกๆ ให้ออกมามีคุณภาพขนาดนี้ ไม่ต้องรอนานค่ะ HELLO! มีคำตอบ ... คุณแม่เม เป็นหญิงเก่งที่มีอาชีพหลากหลาย ทำรายการโทรทัศน์ ทำงานโฆษณา เรื่อยไปจนถึงมูลนิธิเพื่อสังคม แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถามถึงอาชีพ เธอมักจะตอบเสมอว่า
"อาชีพหลักของเธอคือ 'แม่' นั่นเพราะ
การเป็นแม่ คือ สิ่งคุณเมเลือกทำก่อนอาชีพอื่นเสมอ!!!"
“เราเลี้ยงลูกตามธรรมชาติคือใช้ใจเลี้ยง แล้วเราจะสามารถดึงศักยภาพของเขาออกมาได้ดีกว่า มีเวลาให้เขา ไม่เอาลูกไปเปรียบเทียบกับใคร สิ่งแรกเลยพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกด้วยทัศนคติที่ดีก่อน ถ้าพ่อแม่ชอบเปรียบเทียบ เด็กจะไม่มีทางมีความสุข ต้องทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็น ดีกว่าไปบอกสอนหรือสั่งว่าต้องทำตัวอย่างไร การเป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เราต้องทำให้เขาค้นพบศักยภาพของตัวเองให้เร็วที่สุด ได้ทำสิ่งที่ชอบ แล้วให้เขาได้ใช้ชีวิตของเขาไป ก็แค่นั้น" ฟังดูเหมือนเป็นแนวคิดง่ายๆ แต่การเป็นแม่มืออาชีพต้องใช้พลังมหาศาลและเป็นภารกิจระยะยาวในการส่งคนถึงฝั่งให้สมบูรณ์ที่สุด
“จริงๆ ไม่ได้ดีกว่าคนอื่น มีเพี้ยนบ้าง แต่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน สิ่งดีๆ หลายอย่างที่เห็นในตัวลูกๆ คือเขาเป็นคนมีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคน คิดว่าลูกเราน่าจะเป็นคนมีคุณภาพเหมือนกันนะ ไม่แก่งแย่ง คิดในสิ่งที่ดีงาม และมีตรรกะ”
วัยเด็กของโอจีฟ (วิตต์) “เป็นเด็กฉลาด อ่านหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ 3 ขวบ เขาจะชอบเรียนอะไรยากๆ เคยพาเขาไปเช็คปรากฏว่าเขาอัจฉริยะ สามารถจับผิดหนังสือนิทานได้ ตอนนั้นมีหนังสือชื่อ ‘ยีราฟตามหาแม่’ ซึ่งได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นแห่งชาติ แต่พอลูกดูแล้วบอกว่า แม่ยีราฟมันคอยาว เป็นไปไม่ได้ที่มันจะมองไม่เห็นแม่ของมัน แล้วคอยถามว่า แม่อยู่นี่ไหม แม่อยู่นั่นไหม มันเป็นไปไม่ได้ ครูเลยบอกให้ไปตรวจไอคิว เพราะดูฉลาดเกินเด็ก พาเขาไปที่ศูนย์เช็คไอคิว มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ ผลออกมาลูกมีไอคิวสูงเกินเด็กปกติเป็นเด็กอัจฉริยะ เรียนได้ A มาตลอด สอบเข้าสาธิตมศว.ประสานมิตรสบายๆ จน ป.6 เริ่มวัยรุ่นย้ายมาอยู่สาธิตปทุมวัน ความที่เป็นโรงเรียน Bilingual ไม่มี ESL (English as Second Language) ตัดสินใจย้ายเขาไปอยู่บางกอกพัฒนา แต่พอเข้าไปเจอ Culture shock เลยไม่เรียนตั้งแต่ต้น สังคมไทยกับฝรั่งต่างกันมาก เขาต่อต้านจนต้องย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่โอจีฟก็จบโรงเรียนทหารแล้วถึงเข้ามหาวิทยาลัย”
เด็กแสบลลนา “เจี๊ยบตอนเด็กไม่ชอบไปโรงเรียน ปีหนึ่งมี 365 วันลูกเราไปโรงเรียนไม่ถึง 60 วัน จบจากสาธิตประสานมิตร ย้ายไปสาธิตปทุมวัน เรียนได้เกรด 2 ตอนหลังดีขึ้น และย้ายไปเตรียมอุดมศึกษา ช่วง ม.4 อยู่ห้องบ๊วย จน ม. 5 เริ่มพัฒนาและได้เรียนห้อง King เพราะอยากเป็นหมอฟัน เขามารู้ตัวเองว่าอยากเรียนหมอตอนม.6 ซึ่งนับว่าช้ามาก เขาอยากให้คนหายเจ็บป่วย เลยต้องทุ่มเทสุดๆ แม่ก็ต้องทุ่มสุดๆ ไปหาครูมาสอน ไปจุฬาหาอาจารย์มาสอนฟิสิกส์ แฝงตัวไปดู เห็นนักศึกษาคนหนึ่งคณะวิทยาศาสตร์ เก่งมาก จ้างมาสอนลูกเลย ลูกพูดถูกว่า ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ขอให้ทำซ้ำๆ จนเป็นความเคยชิน วันหนึ่งจะทำได้เอง เรามีปัญญา มีแขนขา ทุกอย่างเราทำได้หมด เขาก็ได้เรียนแพทยศาสตร์ รามาธิบดี ซึ่งเลือกเป็นอันดับหนึ่งสมใจ”
คนเล็กว่านอนสอนง่าย “พราวเลี้ยงง่าย ให้เรียน ESL ทั้งที่เขาเรียนภาษาอังกฤษอยู่แล้ว แต่คิดว่า ESL จะทำให้เขาได้เกณฑ์เวลาสอบ IGCSE ซึ่งเขาได้คะแนนเทียบเท่า A+ ได้เรียนนิเทศภาคอินเตอร์ ที่จุฬา และไปจบปริญญาโทด้าน Media Management ที่ Parsons The New School for Design นิวยอร์ก เรียนอยู่ปีครึ่ง แล้วมาทำงานกับฝรั่งที่โรงหนัง Central Embassy เป็น Brand Manager ซึ่งเป็นงานที่เขาอยากทำ”
“ลูกได้คาแรกเตอร์ของเราไปคนละแบบ พราวจะมีเทสต์เลือกของได้สวย คนละแบบกับเจี๊ยบมาก เจี๊ยบจะมีความเป็นอาร์ทิสสูง วาดรูปได้ ว่างก็ปั้น สมัยเด็กเวลาเรียนหนังสือก็ไม่เรียน แต่ตอนนี้เขาอ่านหนังสือเยอะมาก เพราะยิ่งเขาอยากรักษาคนไข้ ยิ่งต้องอ่านหนังสือเยอะ เจี๊ยบเขามีความฝันอยากเปิดคลินิกรักษาฟรี”
ความภูมิใจของคุณเม คือการได้เห็นลูกๆ เดินในเส้นทางที่เลือกเองได้อย่างราบรื่นและมีความสุข “เจี๊ยบนี่เหมือนม้าตีนปลาย ค่อยๆ วิ่งถึงเส้นชัย ตอนจบแพทยศาสตร์ มีโรงพยาบาลเอกชนเสนอเงินเดือนให้หกหลักปลายๆ โชคดีที่เจี๊ยบพอมีชื่อเสียงบ้าง เลยมีคนเสนองานให้ เขาฝันว่าถ้าเขาอยากเปิดฟรีคลินิก เอาเงินที่ได้นี้ไปเปิดได้สบายๆ แต่มันคงเป็นโชคชะตานะ เพราะวันหนึ่งมีอาจารย์มาเรียกตัวไปช่วยงานที่โรงพยาบาลนพรัตน์ โรงพยาบาลรัฐบาลที่คนงานไปรักษาเยอะมาก เจี๊ยบไปช่วยห้องฉุกเฉินตอนตี1 กลับตี 5 พอกลับมาบอกแม่ว่า ไม่ไปทำโรงพยาบาลเอกชนแล้วนะ อยากกลับไปเรียนต่อ กลัวว่ายังไม่มีความสามารถมากพอในระดับที่จะช่วยชีวิตใคร หรือรักษาคนให้หายได้จริงๆ มีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เลยไปเรียนต่อด้านฉุกเฉินที่รามา เขาอยากช่วยเหลือคน เพราะส่วนใหญ่คนไข้ที่มาฉุกเฉิน คือไม่ไหวมากันแล้ว ถ้าทำตรงนี้เหมือนได้บุญ ตามใจเขา เลยกลับมาสอบเข้าเรียนต่อฉุกเฉิน ที่รามาต่อ ได้เงินเดือน 20,000 บาท”
"ส่วนโอจีฟนี่เป็นพ่อคนแล้ว ตอนแรกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ แล้วมาเรียนจิตวิทยา เราเคยส่งเขาไปเรียนโรงเรียนประจำที่มิสซูรี่ ช่วงนั้นเขาเรียนดีมากจนได้ทุน ทีแรกอยากให้ลูกอยู่ Ivy League แต่เขาไม่สมัคร ตอนนั้นก็คิดเหมือนกันนะว่าคนอื่นเขาอยากไปเรียนกัน ทำไมลูกเราทำแบบนี้ ขอให้เรียนจบพอ ให้รู้หน้าที่ เขาเรียนแล้วก็ได้ทุน แต่เราไม่ให้เขารับทุน เพราะไม่ใช่คนอเมริกัน ช่วงวัยรุ่นเนี่ยเอาการอยู่ จนแม่ถึงขั้นสติแตก แต่ดันเขาจนจบ สุดท้ายจบที่ University of Missouri Rolla ทางด้าน Engineer ก่อนจะบอกว่าอยากอ่านจิตใจคนได้ แล้วไปเรียนจิตวิทยา พอจบตรีแล้วก็มาต่อโทที่รามคำแหง เกี่ยวกับการเมือง เขาอยากเล่นการเมือง ตอนหลังก็มาช่วยคุณพ่อที่โรงงาน พลอย (พลอย จินดาโชติ – ภรรยา) ก็มาช่วยด้วย”
"ลูกเราเป็นตัวของตัวเองมาก ทุกคนมีแนวคิดเป็นของตัวเองหมด ไม่มีใครหัวอ่อนเลย เขาคิดว่าเขาจะทำอะไรเขาก็ทำ บางทีเป็นคนสอนแม่ด้วยซ้ำไปว่าแม่อย่าทำแบบนี้นะ อย่าทำแบบนั้นนะ แม่มันไม่ถูกนะ ซึ่งเราก็ฟังหมด คิดว่าการรับฟังไม่เสียหากหรอก เพราะบางทีเขาอาจมีมุมมองอย่างอื่นที่น่าสนใจ
เราเลี้ยงลูกเพื่อให้เขาใช้ชีวิตกันเอง ขออย่างเดียว อย่าโกหกกัน จะไปติดยา หรือท้อง ให้บอกมาเลย มาคุยได้ รู้สึกว่าบางทีการที่เด็กตัดสินใจกันเอง มันไม่ใช่ ดังนั้นการที่เราเป็นผู้ใหญ่เราต้องรับฟังเขาให้เป็น ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี ผิดพลาด หรือทำให้พ่อแม่เสียใจ ถ้าผิดพลาดเราก็ต้องยอมรับ อย่างบางครั้งลูกอยากหนีเที่ยว เรานี่ล่ะเป็นคนพาลูกไปเที่ยว บางครั้งลูกได้คะแนนศูนย์ เราก็บอกว่าแม่ภูมิใจในตัวลูกมาก เพราะเราทำอะไรไม่ได้ เขาก็ไม่อยากได้นี่ แต่มันได้มาแล้ว ทุกวันนี้เราจึงภูมิใจลูกในแบบที่เขาเป็น แล้วก็รู้สึกดีว่าเขาไม่มีจริต ลูกๆ ใจดีหมด ให้เกียรติทุกคน ให้โอกาสทุกคน และอย่าทำให้ใครเดือดร้อน อีกอย่างคือทุกคนต้องมีฝัน ความกลัวทำให้ไม่กล้า แต่ฝันนี่ทำให้เราไปถึงที่หมายได้ บอกลูกเสมอว่า เรามีสองมือสองขา เราทำได้ทุกอย่าง ถ้าเราทำได้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าการเลี้ยงลูกไม่มีไบเบิ้ลบอกหรอกว่าเราทำอย่างนั้นอย่างนี้จะดี หรือทำแบบนั้นแล้วจะถูก ที่สุดมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้ สำคัญที่ความเอาใจใส่ของเราเองต่างหาก”
คุณเมไม่ลืมที่จะขอบคุณสามี (สุเทพ ก้องธรนินทร์) ที่เปิดกว้างให้เธอได้เลี้ยงลูกตามสไตล์ของตัวเอง เขาเพียงคอยเตือนไม่ให้ออกนอกกรอบมากนัก ถือเป็นหางเสือที่สำคัญสำหรับนาวาชีวิตของครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่นนี้
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ