พลังงานจากไขมันสำหรับเด็ก ๆ ในโอกาสหน้าหนาวมาเยือน

พลังงานจากไขมันสำหรับเด็ก ๆ ในโอกาสหน้าหนาวมาเยือน

พลังงานจากไขมันสำหรับเด็ก ๆ ในโอกาสหน้าหนาวมาเยือน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าปัจจุบันนี้บ้านเราประสบกับปัญหาต่างๆมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภัยธรรมชาติรวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาพแวดล้อมทำให้เราต้องมีการปรับตัวกันอย่างยกใหญ่ทั้งในเรื่องของการเตรียมตัวทางด้านร่างกายที่คงจะต้องทำให้มีร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอและที่สำคัญคือเด็กๆที่ยังอยู่ในวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตมีความต้องการอาหารเพื่อการเจริญเติบโตและการสร้างภูมิคุ้มกันรวมทั้งอาจจะอยู่ในวัยที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นการดูแลในเรื่องอาหารยังคงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น และยิ่งไปกว่านั้นคือในขณะนี้อากาศหนาวเย็นเริ่มมาเยือนและมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้อากาศจะมีความหนาวเย็นมากกว่าปีที่ผ่านมา

 

 


เด็กๆคงต้องมีการเตรียมตัวให้ร่างกายมีความแข็งแรง มีภูมิต้านทาน โดยสิ่งที่จะทำได้คือการทานอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทานอาหารในหน้าหนาวนี้ควรจะทานอาหารที่เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายโดยการทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆและยังอุ่นๆอยู่ ถ้าเป็นอาหารที่เก็บไว้ก่อนนำมาทานควรจะนำมาอุ่นก่อน นอกจากนี้คุณแม่ควรจะต้องเตรียมอาหารที่เป็นน้ำซุบที่มีผักเช่น ซุบน่องไก่ใส่มันฝรั่งและหอมหัวใหญ่ ซุบเห็ด ให้กับลูกทุกมื้ออาหารก็จะเป็นการดี ในช่วงหน้าหนาวที่จะมาเยือนบ้านเรานี้จะเป็นช่วงที่เด็กๆคงจะทานอาหารได้อร่อยเพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อจะไปปรับอุณหภูมิภายในร่างกาย แต่อย่าให้ทานเพลินจนลืมดูแลสุขภาพของเด็กด้วย


คราวนี้ เราลองมาพูดกันถึงเรื่องสารอาหารที่มีในอาหารนั้น มี 6 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำ สารอาหารที่ให้พลังงานมี 3 ชนิด คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน อาหารแต่ละชนิดก็จะมีชนิดและปริมาณของสารอาหารแตกต่างกันไป สำหรับไขมันก็เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในอาหารหมู่ที่ 5 คือ น้ำมันจากพืชและสัตว์ อาหารที่เป็นแหล่งของไขมัน ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันไก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา ถั่วลิสง มะพร้าว นอกจากนี้ในอาหารชนิดอื่นก็มีไขมันเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ เนื้อหมู ปลา ไข่ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน



ไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโหรตีน โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ในขณะที่คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน 1 กรัม จะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี หน้าที่ของอาหารในหมู่ของน้ำมัน คือ ให้พลังงานและกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย อาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบจะมีรสชาติอร่อย เพราะเวลาเคี้ยวจะมีความรู้สึกว่านุ่ม แม้แต่เวลาปรุงอาหาร เช่น ทอดจะมีกลิ่นหอม เช่น หมูทอด ไก่ทอด


เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ทานอาหารไขมันได้ทุกชนิด แต่ปริมาณที่จะทานนั้นก็จะแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันหรือไขมันที่เรามองเห็นว่าเป็นน้ำมันหรือไขมัน เช่น น้ำมันพืชและสัตว์ ตามหลักโภชนาการที่ได้แนะนำไว้ ให้กินแต่น้อยเท่าที่จำเป็น เพราะไขมันที่เรามองไม่เห็นนั้นจะมีในอาหารชนิดต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ถั่วเมล็ดแห้งบางชนิด นม

 

 

 

คำแนะนำในการบริโภคไขมันสำหรับเด็ก มีดังนี้



1. เด็กที่มีน้ำหนักเกิน หรือเริ่มอ้วน ควรจะต้องเลือกชนิดอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันให้น้อยลง รวมทั้งการปรุงอาหารที่ใช้น้ำมันหรือกะทิ เป็นการป้องกันไม่ให้เด็กได้รับพลังงานความการจากไขมัน



2. คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครอง ที่มีหน้าที่ในการปรุงอาหารให้คุณลูก ต้องเลือกชนิดของน้ำมันที่จะปรุงอาหารให้คุณลูก โดยเลือกเป็นน้ำมันพืชจะดีกว่าน้ำมันจากสัตว์

 

3. เมื่อให้คุณลูกได้ทานอาหารประเภททอด ๆ เช่น ไก่ทอด ไส้กรอกทอด หมูทอด แล้วคุณแม่ควรจะให้คุณลูกได้ทานอาหารประเภทผักสดบ้างก็จะดี เพื่อคุณลูกจะได้สารอาหารหลากหลายครบถ้วน

 

4. คุณแม่ที่มีหน้าที่ในการปรุงอาหารให้คุณลูกในมื้อเย็น อาจจะปรุงอาหารที่ใช้น้ำมัน หรือกะทิให้น้อย และใน 1 วันของคุณลูกในแต่ละมื้ออาหาร ต้องเลือกเมนูที่ใช้น้ำมันหรือกะทิอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพื่อที่จะเป็นการฝึกเด็กให้มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง

 

5. เด็กที่มีน้ำหนักเกิน หรือเริ่มอ้วน คุณแม่คงต้องเลือกชนิดของนมให้คุณลูก เช่น เลือกนมชนิดพร่องมันเนยให้คุณลูก แทนนมธรรมดา

 

6. ในกรณีที่คุณลูกมีน้ำหนักน้อยกว่าเด็กปกติทั่วไป คือ น้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็น อาหารประเภทไขมันก็มีความจำเป็นในการที่ทำให้เด็กมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น คือ เมื่อคุณแม่ตักอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วใส่ถ้วยให้คุณลูก แล้วให้คุณแม่เติมน้ำมันพืชประมาณครึ่งถึงหนึ่งช้อนชาลงในอาหารให้คุณลูก
ได้ทานก็อาจจะช่วยให้คุณลูกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

 

อย่างไรก็ตามการทานอาหารนั้นเราจะพบว่ามี 2 ด้านเสมอ คือ ถ้าทานในปริมาณที่พอดีก็จะมีสุขภาพดี แต่ถ้าทานมากเกินไป หรือน้อยเกินไปก็จะมีผลเสียต่อสุขภาพเช่นกันค่ะ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook