Whitening จำเป็นไหมสำหรับคุณสาวๆ
มุมมองของหน่วยงานรัฐผู้กำกับดูแลเรื่องเครื่องสำอางอย่าง ภญ.วีรวรรณ แตงแก้ว รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยืนยันว่าสีผิวธรรมชาติถือเป็นสีผิวที่ดีที่สุดแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งส่วนใหญ่เป็นการผสมสาร 3 ชนิด คือ สารสกัดจากพืชที่อ้างว่ามีสารแอนติออกซิแดนต์ ที่ช่วยป้องกันผิวไม่ให้ได้รับอันตรายจากแสงแดด และสารกันแดดที่ป้องกันผิวจากแสงอัลตราไวโอเลต ขณะที่สารที่ อย.ห้ามเติมในเครื่องสำอางคือ สารที่เข้าไปทำลายเม็ดสีในผิวให้เปลี่ยนแปลงจากดำเป็นขาว อาทิ ไฮโดรควิโนน ปรอท แอมโมเนียม เพราะทำให้เกิดอาการผิวขาวด่างเป็นอันตรายได้
"สาร 2 ประเภทแรกที่ใส่ลงในเครื่องสำอาง ไม่มีการศึกษายอมรับว่าทำให้ผิวขาวขึ้น แต่เป็นเพียงหลักการที่ระบุว่า เมื่อไม่โดนแสงแดดผิวก็จะไม่ดำไปกว่าเดิม แต่ไม่ได้ทำให้ขาวขึ้นจากสีผิวตามธรรมชาติแต่อย่างใด"
ความที่เครื่องสำอางที่มีไวเทนนิ่งมีอยู่มากมายนับร้อยๆ ชนิด แล้วเราจะเลือกอย่างไรดีถึงจะได้ผลและไม่เป็นเหยื่อของการโฆษณา พญ.ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ แพทย์ผิวหนังประจำคลินิกเอเพ็กซ์บิวตี้ แนะว่า ก่อนซื้อควรอ่านฉลากข้างผลิตภัณฑ์ให้ดีว่ามีส่วนผสมมาจากอะไร ในปริมาณเท่าใด
ทั้งนี้ สารประเภทไวเทนนิ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
ประเภทแรกเป็นยา เช่น ยารักษาฝ้า ซึ่งอาจจะพบสารปรอทหรือไฮโดรควิโนน ที่มีผลข้างเคียงกับผิวหน้าในภายหลัง โดยปกติแล้วการรักษาฝ้าหรือการที่จะทำหน้าขาวนั้น การใช้ยาประเภทนี้จะต้องอยู่ภายใต้การสั่งยาของแพทย์ และเป็นยาที่ไม่มีการผลิตขาย ใช้เฉพาะในการรักษา
ประเภทที่สอง เวชสำอาง ส่วนมากมีส่วนผสมของกรดผลไม้ ซึ่งเป็นสารสกัดจากผลไม้ต่างๆ เช่น จากอ้อย (ไกโครลิก) ส้ม (ซิทริกแอสิด) หรือพรรณพืชต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเคมีที่ไม่ได้อยู่ในตระกูล AHA ตัวอื่นๆ อาทิ เรตินอล (อนุพันธ์ของวิตามินเอ) กรดวิตามินซี ซึ่งเป็นสารกันบูดในตัว โคจิกแอสิด สารฮาบูติน สารสกัดจากชะเอม) หรือชาเขียว - ชาขาว ซึ่งสารสกัดนี้ก็มีการคิดค้นขึ้นมาใหม่ทุกๆ ปี ส่วนการผสมนั้นจะผสมอะไรกับอะไร ปริมาณเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับสูตรลับของแต่ละบริษัท เจ้ากรดเอเอชเอนี้มีฤทธิ์ในการลอกผิวหน้าและลดการสร้างเม็ดสีในระดับหนึ่ง
ประเภทที่สาม คือประเภทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยาและเวชสำอาง ซึ่งมีสารฟีนอล ปรอท ที่เป็นสารอันตราย เพราะจะทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี ทำให้หน้าลอกและมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ถือเป็นเครื่องสำอางประเภทผิดกฎหมาย
สำหรับการเลือกใช้ให้เหมาะ
พญ.ณัฐินี แนะนำว่า ถ้ามีผิวแห้งก็ไม่ควรใช้ไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมจากกรดผลไม้ เพราะจะทำให้หน้าแห้งยิ่งขึ้น และอาจเกิดอาการแพ้ สวนคนผิวมันก็ไม่ควรใช้ไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมของน้ำมัน
ทางที่ดีควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดด (ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าไวเทนนิ่งเสียอีก) โดยครีมกันแดดที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน นอกจากช่วยป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบี ซึ่งอาจก่อมะเร็งผิวหนังแล้ว ยังช่วยไม่ให้ผิวคล้ำลง
ข้อควรระวัง ในแต่ละครั้งของการบำรุงผิว คือไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์มากเกิน 5 ชนิด เนื่องจากเมื่อเกิดแพ้แล้ว ยากจะทราบแน่ชัดว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใด
อย่างไรก็ตาม คุณหมอผิวหนังทิ้งท้ายว่า โดยธรรมชาติคนไทย พื้นฐานของผิวหน้าและผิวพรรณนั้นเป็นสีดำแดง ผิวสองสี และบ้านเราแดดแรง แตกต่างจากเมืองจีนหรือเกาหลี การใช้เครื่องสำอางต่างๆ ต้องระมัดระวังให้ดี เพราะสารเคมีย่อมมีผลข้างเคียง ไม่ว่าไวเทนนิ่งนั้นจะอยู่ในระดับมาตรฐานใด
"แม้ผิวไม่ขาว หากดูสะอาดสะอ้านกลิ่นกายหอม นิสัยดีก็ดูดีแล้วละค่ะ" คุณหมอกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก www.beautyfullallday.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com