9 คำถาม กับคู่เลิฟตะลอนชิม
วันนี้เรามีเรื่องราวของเขาทั้งสองมาเล่าให้ฟังว่า 14 ปีบนชีวิตคู่ ความรักของพวกเขาเติบโตขึ้นแค่ไหน และที่สำคัญ "อาหาร" เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตได้อย่างไรไปดูกัน
1. ก่อนแต่งงานกัน วาดภาพคุณแม่บ้านและคุณพ่อบ้านในฝันไว้อย่างไร ?
หนูแหม่ม : หนูแหม่มพอทำอาหารได้บ้าง แต่โดยนิสัยจะไม่ทำเพราะเลอะเทอะ แต่หนูแหม่มสามารถจัดการทำความสะอาดบ้านทั้งหมดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ คิดว่าเท่านั้นก็เพียงพอ บ๊อบบี้ : ตอนแรกผมคิดว่าหนูแหม่มต้องทำกับข้าวเก่งเหมือนผู้หญิงไทย เรามารู้ตอนที่ไปเที่ยวพัทยา ไปทำงานกลับมาเห็นกับข้าวเต็มโต๊ะนึกว่าเขาทำเอง แต่ที่ไหนได้ เขาซื้อมาเวฟ แต่เราก็ไม่ได้ติดใจตรงนั้น
บ๊อบบี้ : ผมคิดว่าจะดูแลหนูแหม่ม ให้เขาอยู่บ้านเลี้ยงลูก เราไปทำงานนอกบ้านเหมือนฝรั่งทั่วไป เลยทดลองไปใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาหนึ่งเดือน ซึ่งทำให้เราเปลี่ยนใจ เพราะหนูแหม่มลำบาก ไม่ได้กินส้มตำ ให้ใครไปซื้ออะไรให้ก็ไม่ได้ เพื่อนก็ไม่มี ตอนแรกเราคิดว่าจะเรียนปริญญาโทที่อเมริกา เลยเปลี่ยนใจลองกลับมาอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งบ้านที่เมืองไทยมีทั้งแม่บ้าน คนขับรถ อยู่แล้วสบายก็เลยคุยกับหนูแหม่มว่า เออ ที่นี่ดีนะ น่าจะเหมาะกับเรา
หนูแหม่ม : เอาเข้าจริงๆ เราก็ไม่ได้วาดภาพอะไรมากหรอกค่ะ เพราะแค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว
2. สัมพันธภาพรักวันนี้เทียบกับวันแรก ?
หนูแหม่ม : เออ วันก่อนเรายังคุยเรื่องนี้กันอยู่เลย เคยได้ยินคนพูดไว้ว่า ถ้าอยู่กับใครนานๆ แล้วจะรู้สึกรักและอุ่นใจมากขึ้น หนูแหม่มรู้สึกรักบ๊อบบี้กับโฟร์มากขึ้น โฟร์คือหมาที่บ้านค่ะ (หัวเราะ) เรามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
บ๊อบบี้ : เออดี เทียบกับหมาได้ (หัวเราะ) เราก็อยู่กันแบบนี้ เพราะไม่ใช่คู่รักที่ยิ่งหวานยิ่งสวีท เราคบกันเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก ไม่ใช่ดอกไม้ถึงทุกวันเกิด ทุกวาเลนไทน์ แต่เรายิ่งรู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนกันมากขึ้น"
3. วิธีดูแลด้านอาหารการกินของทั้งสองคน ?
บ๊อบบี้ : ผมก็พยายามดูแลตัวเอง คุณจะไม่มีทางได้เห็นว่าผมจะซื้อขนมหรือช็อกโกแลตเข้าบ้านแน่นอน หรือกิน อันที่เรากินก็เพราะแหม่มซื้อมาเพราะเราชอบทำอาหารคาว แต่ก็จะพยายามงดอาหารทอดต่างๆ แล้วก็จ้างเทรนเนอร์มาจัดคอร์สออกกำลังกายให้ที่บ้าน
หนูแหม่ม : แหม โทษกันเชียวนะ (ยิ้มกลั้วหัวเราะ)คืออย่างนี้ค่ะ เราเป็นผู้หญิงก็จะชอบขนม ช็อกโกแลต อะไรดูเลิศ ดูเก๋ ดูอร่อย หนูแหม่มก็จะซื้อมา บ๊อบบี้เขาจะชอบทานอาหารคาวเป็นส่วนใหญ่ทุกวันเสาร์เราจะให้แม่บ้านทำก๋วยเตี๋ยว เพราะหนูแหม่มชอบกินอาหารที่เป็นเส้น เพราะเวลาไปกินที่ร้านเครื่องก๋วยเตี๋ยวที่เราชอบมันได้น้อย ก็เลยคุยกับบ๊อบบี้ว่า ก๋วยเตี๋ยวที่ขายในตลาดทุกอย่างเราจะทำกินเองที่บ้าน ทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น เสาร์หน้าก๋วยเตี๋ยวไก่ อีกสัปดาห์ก็เป็นบะหมี่เป็ดโฟร์ซีซั่นส์ เราก็ซื้อเป็ดมา 2 - 3 ตัว ใส่เครื่องกันเต็มๆ กินให้อิ่มไปเลย อย่าง บะหมี่ปูหมูแดง นี่ทำง่ายมาก เราก็จะใส่ปูเยอะๆ ฟูๆ หมูแดงเยอะๆ บ๊อบบี้เขาชอบหมูแดง กินกันให้อิ่มทั้งบ้านไปเลย การกินบะหมี่แต่ละสัปดาห์เหมือนเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันอย่างเต็มที่ แต่วันอื่นๆ เราก็จะกินมื้อเที่ยงด้วยกันเท่านั้น เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน
4. เมนูเดทแรกในวันวาเลนไทน์ ?
บ๊อบบี้ : ตอนนั้นผมพาหนูแหม่มไปเดทที่โอเชียนมารีน่า น่าจะเป็นดินเนอร์แรกที่ผมพาแหม่มไปเดทปกติแหม่มไม่กินซุปครีม วันนั้นเขาเสิร์ฟ ซุปฟักทอง แล้วหนูแหม่มชอบ เขากินหมด เขาชอบ เรายังจำได้
หนูแหม่ม : ทุกวันนี้เราก็ยังทำกินกันอยู่ เพราะหนูแหม่มชอบซุปฟักทอง ส่วนตัวบ๊อบบี้เองเขาจะชอบกินซุปมากเวลาไปกินข้าวนอกบ้านเขาก็จะสั่งซุปกับขนมปัง เหมือนอย่างคนไทยกินข้าวกับแกง ถ้าเขาได้กินซุปกับขนมปัง มันก็จบ
5. อาหารสำคัญกับสัมพันธ- ภาพครอบครัวอย่างไร ?
หนูแหม่ม : หนูแหม่มรู้สึกเอ็นจอยกับการกินข้าวกับบ๊อบบี้บางวันเราไปทำงานมาเหนื่อยทั้งคู่ ไม่ได้ทำกับข้าวอะไร ก็กินนมกันคนละกล่องด้วยกัน แค่นั้นก็มีความสุขมากแล้ว บางทีบ๊อบบี้เข้าออฟฟิศ หนูแหม่มก็ถือปิ่นโตไปกินข้าวด้วย
บ๊อบบี้ : ผมจะเจอแหม่มตอนก่อนออกไปทำงานกับตอนเย็นเพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินข้าวด้วยกันมันเลยสำคัญ เพราะเป็นเวลาที่เราได้พูดคุยกัน
6. เปรียบคู่ของเรากับอาหาร คิดว่าเหมือนเมนูไหน ?
หนูแหม่ม : ต้อง ส้มตำไทยกับเนื้อวากิวย่าง นี่ละค่ะโคตรเจ๋งเลย โอ๊ย เมนูนี้มันเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ มันอร่อยมาก เดือนหนึ่งเราจะทำกินกันที่บ้านประมาณสองครั้ง มันแซบ อร่อยบอกไม่ถูก
บ๊อบบี้ : ผมชอบเอาเนื้อวากิวมาโรยเกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก แล้วก็เอาไปย่างบนกระทะ โรยโชยุนิดหนึ่งแล้วก็มิริน แล้วเร่งไฟขึ้น ไฟก็จะลุก จัดใส่จานแล้วก็กินกับส้มตำ หนูแหม่มเขาจะชอบย่างแบบสุก แต่ผมจะต้องเป็นแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ แล้วก็กินกับส้มตำ จะว่าไปส้มตำก็เหมือนหนูแหม่ม เพราะมีหลายรสชาติ หลายอารมณ์
หนูแหม่ม : ใช่ ส้มตำมันมีหลายตำนะ ทั้งตำไทย ตำไทยใส่ปู ตำปูปลาร้า ตำซั่ว ตำป่า ฯลฯ หนูแหม่มก็กินได้ทุกตำเลยนะ อารมณ์หนูแหม่มก็เหมือนแบบนั้นละ ส่วนบ๊อบบี้เขาก็เหมือนเนื้อย่าง คือ แมนๆ ดี อร่อยด้วย ไม่ซับซ้อน เหมือนวิธีปรุงที่ปรุงง่าย คู่เรามีความสุขกับการกิน เหมือนตอนนี้ทำรายการ คู่เลิฟตะลอนทัวร์ กันก็สนุกมาก
7. เล่าเรื่องคู่รักตะลอนทัวร์ให้ฟังหน่อย ?
หนูแหม่ม : ตอนนั้นหนูแหม่มอยากทำรายการอาหารแบบกึ่งเที่ยว มีเชฟหรือเกสต์คอยสอนทำอาหารในรายการคู่กันไป เลยลองปรึกษากับทางคุณนิด -อรพรรณดู เธอก็บอกว่า บ๊อบบี้เหมาะ เพราะบุคลิกได้ แล้วก็ชอบกินด้วย ซึ่งหนูแหม่มก็เห็นว่าเป็นโอกาสดี เพราะตอนนี้เราอายุเท่านี้ยังพอมีแรงที่จะตะลอนไปเที่ยวด้วยกันได้ เหมือนเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้เดินทางไปต่างถิ่นด้วยกัน ยังคุยกับบ๊อบบี้เลยว่า ถ้าเราแก่กว่านี้เราก็คงทำแบบนี้ไม่ได้
บ๊อบบี้ : ทำรายการนี้สนุกดี แล้วก็เป็นโอกาสดีมาก ทำให้ผมได้ไปเที่ยวกับหนูแหม่ม ได้รู้จักอาหารไทยมากขึ้น แล้วก็ได้กินอะไรแปลกๆ
หนูแหม่ม : ต้องบอกว่าถ่ายรายการนี้เหนื่อยมากนะคะ แต่พอได้ทำกับบ๊อบบี้ก็กลายเป็นสนุก ทำให้เขาได้ฝึกกินอาหารไทย แล้วก็เข้าใจอาหารไทยมากขึ้น บางครั้งกินแล้วท้องเสียเข้าโรงพยาบาลก็มี แต่เขาก็ยังสนุกที่จะทำ
8. คาดหวังกับชีวิตคู่ในวันข้างหน้าอย่างไร ?
หนูแหม่ม : แน่นอนว่าคนเราก็คงหวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันนานที่สุด มีภาพเราแก่เฒ่าคู่กันเป็นตาเป็นยาย ก็ยังเป็นภาพที่ฝันไว้ แต่จากนี้ไปถึงวันนั้นมันไม่มีใครรู้ว่าเราจะเจออะไร
บ๊อบบี้ : เราแพลนนะ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดินอะไรไว้ เพื่อจะอยู่ด้วยกัน แต่เราก็ไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก ดูกันไปเป็นวันๆ ดีกว่า
หนูแหม่ม : นั่นเป็นแพลนอีกอันหนึ่งค่ะ ก็คือเราจะแพลนในแต่ละวันว่าถ้าเราเจอปัญหา เราจะรับมืออย่างไร กับวันแต่ละวันที่จะเดินไปถึงจุดหมายที่ฝันไว้นั่นละค่ะเราโชคดีที่ไม่มีลูก จึงไม่ต้องกังวลกับตรงนั้น อย่างมากเราก็แค่ห่วงซึ่งกันและกัน แล้วก็น้องโฟร์ (หัวเราะ)
9. คิดว่า "ความสุข" ในชีวิตคู่อยู่ที่ไหน เขาทั้งสองตอบเพียงประโยคสั้นๆ โดยมีหนูแหม่มเป็นผู้กล่าวว่า "หนูแหม่ม" เชื่อว่าชีวิตที่มีความสุขคือ กินอิ่ม นอนอุ่น เท่านั้นก็พอแล้วค่ะ" และมีคำยืนยันหนักแน่นของบ๊อบบี้ว่า "อืม...ใช่" เป็นการปิดท้ายบทสนทนาสำหรับ 9 คำถามในวาเลนไทน์ 2012 นี้