5 วิธี ลดหุ่นสไตล์ญี่ปุ่นสุดเจ๋ง
หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่าสาวญี่ปุ่นหุ่นตุ้ยนุ้ยมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะมีแต่คนเอวบางร่างน้อยทั้งนัั้น เค้ามีเคล็ดลับในการรักษาหุ่นอย่างไร ลองมาดูเคล็ดลับเด็ดๆ ของการไดเอทสไตล์ญี่ปุ่นกันดีกว่า
รวมเทคนิคการลดน้ำหนักที่คนญี่ปุ่นว่ากันว่าได้ผลค่ะ ทั้งนี้ แต่ละเทคนิคไม่ได้มีผลเหมือนกันกับทุกคน และไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่เป็นยาวิเศษนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม
1.ลดน้ำหนักจากการ “กินแตงกวา”
ที่มาแรงมากๆสำหรับเทรนด์การลดน้ำหนักของคนญี่ปุ่นในตอนนี้ก็คือ การกินแตงกวา
จากการลงตีพิมพ์ในหลายๆบทความว่า มีบางคนกินแต่แตงกวาอย่างเดียวสามารถลดน้ำหนักลงได้ 11 กก.ภายใน 2 เดือน ที่ฮิตกันขนาดนั้นก็เพราะ มีผลวิจัยเพิ่มออกมาว่า แตงกวา เป็นผักที่ มีเอนไซม์ชื่อ "phospholipase" ที่มีคุณสมบัติสลายไขมันและขจัดเซลลูไลต์อยู่ในปริมาณมากกว่าผักชนิดอื่น มีเส้นใยอาหารสูง มีแคลอรีต่ำ จึงถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก
ส่วนวิธีการกินแตงกวาเพื่อลดน้ำหนักแบบไม่ทรมานตัวเองนั้น นักเขียนชาวญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญการดูแลน้ำหนัก มีหลักการง่ายๆมาแนะนำ คือ การเรียงลำดับอาหารที่กินให้ถูกต้อง
1.กินแตงกวา 1-2ลูก ก่อนทุกครั้ง โดยเคี้ยวช้าๆ เนื่องจากแตงกวานอกจากมีคุณสมบัติในการลดน้ำหนักชั้นยอดแล้ว ยังมีเนื้อที่ค่อนข้างแข็ง ฉะนั้น เราก็จะต้องเคี้ยวนานกว่าผักชนิดอื่น และยิ่งเคี้ยวนานเท่าไร ก็จะทำให้กระเพาะของเรารับรู้การอิ่มได้เร็วขึ้น เราจึงควรเลือกหยิบแตงกวาเข้าปากเราก่อน
2. กินผักต้มหรือผักลวกตาม เนื่องด้วยแตงกวามีคุณสมบัติทำให้ร่างกายเย็น ฉะนั้นเพื่อเป็นการปรับสมดุลอุณหภูมิของร่างกายเราก็ต้องกินผักลวกที่อุ่นขึ้นตามเพื่อรักษาระดับการเผาผลาญของร่างกาย
3.ซดซุปผักใส่มิโซะ นอกจากเพื่อเพิ่มอรรถรสในการกินแล้วคุณสมบัติของมิโซะอีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่วยชะลอการทำงานของไขมันและปรับสมดุลการทำงานของกระเพาะได้ด้วย
4.กินอาหารที่มีโปรตีนและปรุงด้วยผักเป็นหลัก เพื่อสร้างกล้ามเนื้อทดแทนไขมัน
5.กินข้าวสวยในปริมาณไม่เกิน 1 ถ้วยเล็กเป็นลำดับสุดท้าย แม้แป้งจากข้าวอาจเป็นตัวสร้างน้ำหนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เพื่อสุขภาพที่ดี แต่หากเราจำกัดปริมาณเพียงถ้วยเล็กก็ทำให้ได้สมดุลดี แต่เนื่องจากเราจัดมากินในลำดับสุดท้ายหลังจากกินหลายอย่างไปจนช่องว่างในกระเพาะเราเหลือน้อยลง เราก็จะกินข้าวน้อยลงนั่นเอง
2."น้ำอุ่น" ทั้งดื่ม ทั้งอาบ ก็ลดน้ำหนักได้
หนึ่งเคล็ดลับของสาวหุ่นดีที่ญี่ปุ่นนั้นคือการดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำ
เราจะสังเกตเห็นว่าสาวๆญี่ปุ่นนั้นมักจะพกกระบอกใส่น้ำอุ่นอยู่เสมอ เพราะข้อดีของน้ำอุ่นในแง่ของสุขภาพและการลดน้ำหนักนั้น มีหลายอย่างมาก ทั้งช่วยป้องกันอาการบวมน้ำและความอ้วนจากไขมันสะสม นอกจากนี้น้ำอุ่นก็ยังช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกาย เพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหาร และขยายหลอดเลือดได้
การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอบอุ่นที่เยื่อเมือกในช่องปาก เพิ่มความเร็วในการไหลเวียนเลือดไปยังกระเพาะอาหาร ซึ่งจะส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ว่าอิ่มเร็วขึ้น จึงลดการกินอาหารส่วนเกินได้
นอกจากการดื่มน้ำอุ่นแล้วการอาบน้ำอุ่นก็มีผลต่อการลดน้ำหนักเช่นกัน เพราะเป็นการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินในร่างกาย โดยแนะนำให้แช่น้ำอุ่นอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที ความร้อนและความดันของน้ำจะช่วยให้การหมุนเวียนเลือดและของเหลวในร่างกายดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดของเสียและไขมันส่วนเกินได้
และมีอีกหนึ่งเคล็ดลับที่สาวญี่ปุ่นมักจะทำหลังอาบน้ำเสร็จคือเมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยให้ปรับอุณหภูมิน้ำฝักบัวอยู่ที่ 38-41 องศา จากนั้นยืนหันหลัง แล้วใช้ฝักบัวฉีดค้างไว้ลงตรงบริเวณก้นกบ(บริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ) ให้น้ำไหลผ่านประมาณ 15-30 วินาที ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นและช่วยให้ระบบเผาผลาญดีขึ้น มีบางผลลัพธ์ของสาวญี่ปุ่นที่ได้ลองทำติดต่อกัน 5 วัน พบว่าน้ำหนักลดลงไป 1 กิโลกรัม เป็นอะไรที่ง่ายมากๆ
3. ลดน้ำหนักด้วยกล้วยหอม กับ น้ำเปล่า
อาจมีหลายคนที่ยังจำกันได้ถึงความฮอตฮิตของสูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยอันโด่งดังของญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน เราเลยขอหยิบเอามาฟื้นความทรงจำกันอีกสักรอบ เผื่ออีกหลายคนจะได้เอาไปใช้ สูตรนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ Metabolism ของร่างกายเรา แนะนำโดยชายชาวญี่ปุ่นที่ชื่อฮามาจิ ซึ่งภรรยาของเค้าที่เป็นเภสัชกรที่ศึกษาด้านโภชนบำบัดและเวชศาสตร์การป้องกัน เป็นผู้แนะนำและดูแลโภชนาการที่ถูกต้องให้กับเค้า ทำให้เขาสามารถลดน้ำหนักลงได้ตามที่ใจต้องการ อีกทั้งยังมีสุขภาพดีขึ้นด้วย
ซึ่งสูตรนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ Metabolism โดยอาศัยหลักการที่ว่าเมื่อเส้นใยในกล้วยหอมเจอกับน้ำเปล่า มันจะไปขยายตัวในท้อง และช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ให้สะอาด สลายไขมันที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือดออกมาได้ด้วย ซึ่งวิธีการลดน้ำหนักด้วยกินกล้วยมื้อเช้าสามารถทำได้ดังนี้
มื้อเช้า : ให้งดอาหารประเภทอื่น ให้กินเฉพาะกล้วยกี่ผลก็ได้จนกว่าเราจะรู้สึกอิ่ม แต่ต้องกินคู่กับน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้องเท่านั้น จะใช้กล้วยประเภทใดก็ได้ โดยกล้วยที่นิยมได้แก่ กล้วยหอมและกล้วยน้ำว้า ค่อยๆเคี้ยวช้าๆให้ละเอียด ดื่มน้ำตามมากๆ หากกินกล้วยไปหลายลูกแล้วแต่ยังรู้สึกหิว เพราะร่างกายยังไม่ชินกับการกินกล้วยมื้อเช้า แนะนำว่าอาจหาอะไรอย่างอื่นกินได้ในปริมาณที่จำกัด แต่ต้องผ่านการกินกล้วยไป 15 – 30 นาที
มื้อกลางวัน : สามารถกินอาหารได้ตามปกติ อะไรก็ได้ที่เราอยากกิน เคล็ดลับอยู่ที่การเคี้ยวให้ละเอียด
ระหว่างวัน : ถ้าหากหิวก็สามารถกินของว่างได้ตอนบ่าย 3 โมง อาจจะเป็นผลไม้หรือช็อคโกแลตสักแท่งก็ได้เพื่อดับความหิวและจะได้ไม่รู้สึกว่าเครียดกับการลดความอ้วนมากเกินไป
มื้อเย็น: ให้กินเร็วขึ้นและพยายามกินไม่เกิน 6 โมงเย็น แต่หากติดธุระ ดึกสุดก็ไม่ควรกินอะไรหลัง 2 ทุ่ม
4. ท้องยุบ ท้องป่อง ก็ลดได้
วิธีการนี้ มีการยืนยันผลจากสาวญี่ปุ่นหลายคนว่าสามารถลดเอวได้ประมาณ 4 ซม. ลดน้ำหนักได้ 2 กก. ภายใน 10 วัน แถมอาการท้องผูกก็ยังดีขึ้นด้วย (เร็วเว่อร์ๆ โปรดใช้วิจารณญาณ)
วิธีนั้นก็คือ การเกร็งหน้าท้องให้ยุบให้พองอย่างมีหลักการนั่นเอง ทำง่ายด้วยขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ยืนตรงปล่อยร่างกายตรงๆ สบายๆ เกร็งกล้ามเนื้อท้องจนท้องยุบเป็นเวลา 1-2 วินาที โดยไม่ต้องกลั้นหายใจ ใช้เพียงแค่แรงจากกล้ามเนื้อท้องเท่านั้นในการแขม่ว
ขั้นที่ 2 ค่อยๆคลายกล้ามเนื้อท้องออกโดยใช้เวลา 1-2 วินาที โดยไม่ต้องกลั้นหายใจเช่นกัน แต่ให้บังคับท้องโดยใช้กล้ามเนื้อเท่านั้นในการคลายและค่อยๆให้ท้องป่องออกให้มากที่สุด เพื่อเป็นการบริหารกล้ามเนื้อท้อง
ขั้นที่ 3 ลองทำสลับไปมา ท้องยุบ ท้องป่อง โดยในช่วงแรกอาจใช้ฝ่ามือจับที่หน้าท้องเพื่อให้สามารถบังคับกล้ามเนื้อท้องได้ง่ายขึ้น แต่พอเริ่มชินแล้วเราก็สามารถบังคับการขยับของกล้ามเนื้อท้องได้ตลอดการทำกิจวัตรประจำวันของเรา
หลักการลดพุงของวิธีนี้
จากการสอบถามนักกายภาพ Kawamura Masatsugu แห่ง Kawamura Internal Medicine Clinic บอกว่า สาเหตุของการมีพุงยื่นนั้นเกิดจากการที่กล้ามเนื้อหน้าท้องเกิดความอ่อนแอและอวัยวะภายในมีการสะสมของไขมัน จึงทำให้หน้าท้องเกิดการหย่อนคล้อย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแก้ด้วยการทำกล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงและเต่งตึงมากขึ้น และเมื่อเราเกิดการขยับที่กล้ามเนื้อท้องแล้วก็จะเกิดการเผาผลาญไขมันจนทำให้หน้าท้องแบนราบได้ แถมยังมีผลต่อการทำงานของระบบกระเพาะและลำไส้ ทำให้ท้องไม่ผูกได้ด้วย รวมทั้งทำให้บุคลิกเราดีมีสง่าขึ้นอีกต่างหาก
5. หายใจยาวๆ ลดน้ำหนัก
สูตรนี้เป็นวิธีลดน้ำหนักของ เรียวสุเกะ มิกิ (ผู้ชาย) อดีตดาราญี่ปุ่นวัย 60 ปีที่ค้นพบวิธีลดน้ำหนักแบบ Long Breath Diet ในช่วงที่ทำกายภาพบำบัดแก้อาการปวดหลัง ซึ่งเขาพบว่าการฝึกหายใจเข้า-ออกยาวๆ สามารถช่วยลดน้ำหนักลง 12.7 กิโลกรัม เอวลดลง 5 นิ้ว ในเวลาเพียง 50 วันเท่านั้น ซึ่งขั้นตอนการหายใจลดพุงที่ว่า มีขั้นตอนคือ
ขั้นที่ 1 ยืนไขว้ขาเล็กน้อย ให้เท้าข้างหนึ่งวางอยู่หน้าเท้าอีกข้างหนึ่งในท่ายืดตัวเบาๆ
ขั้นที่ 2 ลงน้ำหนักตัวไปที่เท้าด้านหลัง เกร็งกล้ามเนื้อก้นและหน้าท้อง
ขั้นที่ 3 หายใจเข้า 3 วินาที (หายใจเข้าท้องยุบ) พร้อมกับยกมือขึ้นเหนือศีรษะ
ขั้นที่ 4 หายใจออกต่อเนื่อง 7 วินาที ทำซ้ำให้ครบ 2-5 นาที
ทำแบบนี้ต่อเนื่องทุกๆวันเขารับรองว่าจะเห็นผลภายใน 2 อาทิตย์ ซึ่งการลดน้ำหนักแบบ Long Breath Diet ทางผู้เชี่ยวชาญก็ให้ความเห็นว่าที่ช่วยลดน้ำหนักได้ก็เพราะการหายใจเข้าลึกๆ จะช่วยเพิ่มออกซิเจนให้เลือด และอาจช่วยกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึมของร่างกายได้ ส่งผลให้เกิดกระบวนการเผาผลาญมากขึ้น ฉะนั้นก็จะส่งผลให้พุงที่ยื่นและไขมันส่วนเกินของคุณมันหายไปได้ ฟังดูก็มีเหตุผลนะ