ร้อนนี้เลือกผลิตภัณฑ์กันแดด อย่างไรดี
คงต้องยอมรับแต่โดยดีว่าภาวะโลกร้อนดูจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้ง่ายๆคือเราสามารถรู้สึกได้เลยว่าแสงแดดทุกวันนี้ ดูจะร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่บางคนรู้สึกแสบร้อนที่ผิวได้ทั้งที่ถูกแสงแดดเพียงไม่นาน และอย่างที่ทราบกันดีว่าอันตรายของแสงแดดมีมากมายหลายประการ และดูจะเป็นตัวการสำคัญของปัญหาผิวต่างๆ อาทิ ความหมองคล้ำ จุดด่างดำ ฝ้า กระ รวมไปถึงมะเร็งผิวหนังอีกด้วย คงจะดีกว่าถ้าเราสามารถปกป้องผิวจากอันตราย ของแสงแดดได้ อย่างไรก็ดีควรเริ่มต้น จากการรู้ซึ้งถึงอันตรายของแสงแดดและรังสียูวี
UV คืออะไร
พลตรีนายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง แผนกโรคผิวหนัง กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าได้พูดถึงอันตรายของรังสียูวีไว้ว่า ผิวของเรานั้น สามารถถูกทำร้ายจากสิ่งเร้าภายนอกได้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแสงแดดที่มีรังสีอุลตร้าไวโอเลต หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า รังสียูวี ซึ่งประกอบไปด้วยรังสี UVA, UVB และ UVC ซึ่งต่างกันที่ช่วงความยาวคลื่นแสงอุลตร้าไวโอเลต (UVL=Ultraviolet light) ซึ่งแบ่งเป็น Ultraviolet A (UVAWavelength 320-400nm) Ultraviolet B (UVB Wavelength280-320nm) และ Ultraviolet C (UVC Wavelength 190-280nm) ซึ่งเฉพาะ UVA และ UVB (>290nm) เท่านั้นที่ส่องมาถึงพื้นโลก ส่วน UVC ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อนิวเคลียสของเซลล์ของผิว จะถูกกรองโดยโอโซนในบรรยากาศชั้น Stratosphere ทำให้ไม่สามารถผ่านมาถึงพื้นโลกได้ (อย่างไรก็ดีด้วยภาวะโลกร้อน ทำให้บางช่วงของโอโซนเป็นช่องโหว่ ทำให้รังสียูวีซีสามารถทะลุลงมาถึงโลกได้บ้างแล้ว)รังสี UVB มีความยาวคลื่นสั้น (280-320nm ) มีผลต่อเซลล์ผิวหนังกำพร้าที่อยู่ชั้นนอกสุด ทำให้เกิดแดดเผา (Sunburn) มีผิวสีคล้ำและถ้าถูกแสงแดดเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ สำหรับรังสีUVA นั้น จัดได้ว่าเป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นความยาวมาก (320-400nm)สามารถทำอันตรายต่อผิวได้มากที่สุด ที่สำคัญสามารถทำลายทะลุทะลวง
ถึงผิวหนังชั้นใน ทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสตินไฟเบอร์ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยตีนกาได้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดผิวสีที่ผิดปกติเป็นรอยด่างดำไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการทำลายผิวหนังที่เกิดจากทั้งUVA และ UVB สามารถมองเห็นได้ในบริเวณที่ถูกแดดเป็นประจำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่ใช้ชีวิตกลางแจ้งมาก
การทำร้ายเซลล์ผิวของรังสี UV จากแสงแดดต่อผิวหนังนั้นเป็นผลสะสมในระยะยาว จึงอยากแนะนำว่าพวกเราทุกคน ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือแม้กระทั่งเด็ก ก็ควรปกป้องผิวหนังจากแสงแดดเช่นเดียวกัน
ค่าการปกป้องแสงแดดจากรังสี UV
เมื่อได้ทราบถึงความร้ายกาจของรังสี UVA ที่มีมากกว่ารังสีUVB แล้วนั้น หลายๆ คน คงสงสัยว่าแล้วเราจะปกป้องผิวจากรังสี UVAได้อย่างไร พลตรี นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ว่า ก่อนอื่นเราคงต้องเข้าใจถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์กันแดดในการป้องกันรังสี UV ก่อน ซึ่งโดยทั่วๆ ไปเราคงคุ้นเคยกับ "ค่า SPF" ซึ่งย่อมาจาก Sun Protection Factor หรือแปลเป็นไทยว่า ค่าการป้องกันแสงแดดจากรังสี UVB ซึ่งเข้าใจได้ง่ายๆ คือ ถ้าเคยถูกแสงแดดแล้วผิวไหม้แดง ในเวลา 15 นาที หากทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF = 6 ก็จะปกป้องผิวได้ 6 เท่า หรือผิวจะไหม้แดงในเวลา 90 นาที (6x15=90นาที) ถ้าค่า SPF = 8 ผิวจะไหม้ในเวลา 2 ชั่วโมง (8x15=120 นาที)แต่สำหรับการปกป้องผิวจากรังสี UVA นั้น ให้ดูที่ "ค่า PPD"คือ Persistent Pigment Darkening ซึ่งเป็นค่าที่ใช้วัดค่ากันแดดที่ป้องกันรังสี UVA ที่เป็นตัวการในการทำให้ผิวดูแก่ และสีคล้ำขึ้นนั่นเองพูดกันง่ายๆ คือ ถ้าทากันแดดที่มีค่า PPD10 ก็คือ คุณสามารถทนแดดได้มากกว่าผิวที่ไม่ทา 10 เท่า แต่ในบางประเทศอย่างญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ใช้ค่าPPD แต่ว่าใช้ "ค่า PA" คือ Protection Class UVA เป็นระดับการวัดค่าป้องกัน UVA ค่าสูงสูดในมาตรฐาน PA คือ PA+++ ซึ่งเมื่อเทียบกับมาตรฐาน PPD ค่า PA+++ คือ >8 ขึ้นไป ฉะนั้นหากต้องการปกป้องผิวจากรังสี UVA ก็ควรหาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า PPD สูงๆ มาใช้ ไม่ควรพิจารณาที่ค่า SPF เพียงอย่างเดียว เพราะค่า SPF เอาไว้วัดค่าการปกป้องรังสี UVB ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวในระยะยาว น้อยกว่า UVA ซึ่งอาจสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าเห็นตัวอักษร UVA นั่นแสดงว่าผลิตภัณฑ์กันแดดตัวนั้นสามารถป้องกันผิวจาก UVA ได้ดีระดับหนึ่งทีเดียว
ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ป้องกันรังสี UV ได้ดีและครอบคลุม ควรจะมีส่วนผสมของทั้ง Chemical (Organic) และ Physical (Inorganic/Mineral) Sunscreen เช่น Zinc Oxide, Titanium Dioxide (TiO2),Avobenzone (Parsol 1789), Mexoryl SX, Mexoryl XL,Oxybenzone เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์กันแดดในท้องตลาดที่มีประสิทธิภาพกันUVA ได้ดี ก็จะมีสารที่กล่าวแล้วข้างต้นผสมกันอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปในสัดส่วนความเข้มข้นต่างๆ ซึ่งให้ประสิทธิภาพการปกป้องรังสี UVAที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรเลือกให้ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าการปกป้องทั้งรังสี UVB และ UVA สูงๆ และเหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง
เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดอย่างไรดี
เราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ไว้เนื่องจากการให้ได้ผลตามที่เขียนไว้ข้างขวดนั้น ผู้ใช้จะต้องทาหนามากขนาด 2 มิลลิกรัมต่อพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร ซึ่งคนทั่วไปไม่ได้ทาหนาขนาดนั้น เพราะไม่เหมาะกับวิถีชีวิตประจำวัน ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำว่า ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดประมาณ 1 ข้อนิ้วชี้สำหรับทาหน้าและคอ ซึ่งควรทาอย่างน้อย 2 รอบ จึงจะสามารถป้องกันแดดได้ หากเล่นกีฬาหรือเหงื่ออออกมาก ควรทาซ้ำทุก 2 ชม. เพราะผลิตภัณฑ์กันแดดส่วนใหญ่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการทนต่อน้ำเมื่อเราเหงื่อออก ก็หายไปหมดแล้ว ที่สำคัญเราไม่ควรใช้ชีวิตท่ามกลางแสงแดดจัด และเราควรป้องกันผิวจากแสงแดดตั้งแต่วัยเด็ก โดยการหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องตากแดดจัด ป้องกันร่างกายอย่างมิดชิดด้วยเสื้อผ้า แว่นกันแดด หมวก และร่ม เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรมแต่ละประเภท แต่ที่สำคัญคือต้องลงมือปกป้องผิวตั้งแต่วันนี้เพราะผิวเรามีโอกาสที่จะโดนแสงแดดทำร้ายอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่มีแสงแดดอันมีรังสี UVAอยู่ตลอดเวลา และทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะอยู่กลางแดดหรือในร่มก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าปกป้องรังสื UVA โดยสังเกตจากค่า PPDนั้น สามารถช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVAจากค่าปกป้องรังสีดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นกับกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับแสงแดดซึ่งการเลือกค่า PPD ที่สูงและเหมาะสมนั้นจะช่วยให้สามารถปกป้องรังสีUVA ได้ สำหรับผู้บริโภคอาจสังเกตได้ง่ายๆ คือ ถ้าเห็นตัวอักษร UVAนั่นแสดงว่าผลิตภัณฑ์กันแดดตัวนั้นสามารถป้องกันผิวจาก UVA ได้ทำให้ง่ายต่อการพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดด ที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVB และ UVA ได้
เทคนิคปกป้องผิวจากแสงแดด
- เลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดที่สามารถปกป้องผิวได้ทั้งรังสี UVA และ UVB
- ผิวแพ้ง่ายหรือไวต่อแดด เช่น ผิวหลังการทำเลเซอร์ทรีตเมนท์ การขัดลอกหน้า ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดด สำหรับผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายโดยเฉพาะ
- ทาผลิตภัณฑ์กันแดดในปริมาณที่พอดี คือ ประมาณ 1 ข้อนิ้ว สำหรับผิวหน้า และประมาณ 30 กรัม สำหรับผิวกาย ก่อนออกแดดประมาณ 15-20 นาที
- การพักผ่อนตามชายทะเล ควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดเพิ่มทุก 3 ชั่วโมง เนื่องจากหาดทรายสามารถสะท้อนแสงแดดและรังสี ยูวีได้ดี จึงเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น
- การทาผลิตภัณฑ์กันแดด ควรทาบางๆ และเกลี่ยให้ทั่วๆ ไม่ควร ทาย้อนขึ้นลง เพราะจะทำให้ครีมหลุดลอกได้ง่าย และควรทาซ้ำ หลังจากเที่ยง หรือหลังจากที่มีเหงื่อออกมากๆ
- เลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมที่เป็น เคมีคอล และฟิสิกส์คอล เพื่อการปกป้องผิวจากอันตรายของรังสียูวี ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- หลังจากออกแดดแล้ว ควรล้างผิวให้สะอาด แล้วทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ หรือครีมบำรุงทันที