กินอย่างไรไม่ให้ไมเกรนถามหา

กินอย่างไรไม่ให้ไมเกรนถามหา

กินอย่างไรไม่ให้ไมเกรนถามหา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ไมเกรน" เป็นอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อเกร็ง (Tension type headache) ซึ่งพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า โดยมักเริ่มมีอาการครั้งแรกตอนช่วงวัยรุ่นถึงวัยกลางคน ซึ่งอาการที่แสดงออกชัดเจนคือ ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรืออาจย้ายข้างได้หรือปวดศีรษะทั้ง 2 ข้าง รูปแบบการปวดไมเกรนมีอาการปวดแบบตุ้บๆ (คล้ายเส้นเลือดเต้น) และอาจปวดรุนแรงมากจนทำให้การเรียนหรือการทำงานเสียไป ในบางรายอาจส่งผลถึงการทำกิจวัตรทั่วไป เช่นการเดินจะทำให้อาการปวดเป็นมากขึ้น ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือ มีอาการไม่อยากเห็นแสงจ้าและไม่อยากได้ยินเสียงดัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาการปวดศีรษะจะเป็นอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง บางคนอาจมีอาการเจ็บที่บริเวณหนังศีรษะหรือรอบกระบอกตาร่วมด้วยได้

เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะที่มีความรุนแรงมาก พบได้บ่อยในทุกเพศและทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงวัยทำงาน ทำให้เกิดผลกระทบทั้งทางด้านร่างกาย, จิตใจและสังคม ไมเกรนเป็นโรคที่เกิดจากความไวของสมองมีมากกว่าปกติ สิ่งกระตุ้นชนิดต่างๆจากทั้งภายในและภายนอกร่างกาย สามารถทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนขึ้นมาได้ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเป็นการรักษาวิธีหนึ่งที่ผู้ป่วยไมเกรนสามารถทำได้เอง โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายและไม่มีผลแทรกซ้อน สิ่งกระตุ้นในกลุ่มของอาหารและเครื่องดื่มชนิดต่างๆเป็นสิ่งกระตุ้นที่พบได้บ่อย การสังเกตประเภทของอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และมีผลทำให้อาการปวดศีรษะลดน้อยลง

อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท บอกว่า อาการปวดศีรษะไมเกรน เกิดจากความผิดปกติของระบบไฟฟ้าที่ผิวสมอง ทำให้สมองเกิดการกระตุ้นได้ง่ายและไวกว่าคนปกติ หลังจากสมองถูกกระตุ้นแล้ว จะเกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามผิวของสมองอย่างช้าๆ (ทำเกิดอาการการเตือนขึ้นมา) กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนี้ทำให้การไหลเวียนของเลือดในสมองเปลี่ยนแปลงไป และยังไปกระตุ้นเส้นประสาทสมอง ทำให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาทบางชนิด มีผลทำให้หลอดเลือดสมองเกิดการขยายตัวและเกิดการอักเสบขึ้น เป็นผลทำให้มีอาการปวดศีรษะในที่สุด

อาการปวดศีรษะไมเกรนสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ไมเกรนที่ไม่มีอาการเตือน (Migraine without aura) และไมเกรนที่มีอาการเตือน (Migraine with aura) ซึ่งอาการเตือนที่พบบ่อย ได้แก่ การมองเห็นผิดปกติ โดยจะเห็นแสงเป็นเส้นซิกแซกคล้ายฟันเลื่อย อาจจะมีหรือไม่มีสี หรือเห็นภาพมืดไปเป็นบางส่วน หรือมองเห็นภาพไม่ชัด หลับตาแล้วยังเห็นได้อยู่ หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาการผิดปกติของการมองเห็นจะเคลื่อนที่อย่างช้าๆ อาการเตือนอื่นๆ เช่น อาการชาที่มือ-แขน หรือชารอบปาก, ไม่สามารถพูดได้ชั่วคราวหรือนึกชื่อไม่ออก, หรือมีอาการอ่อนแรงของแขน-ขาซีกหนึ่งของร่างกาย เป็นต้น

ในผู้ป่วยบางรายจะพบว่ามีสิ่งกระตุ้น ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนขึ้นมา เช่น ภาวะเครียด, การอดนอน, การนอนและตื่นที่ไม่เป็นเวลา, ช่วงที่เป็นประจำเดือน, กลิ่นหรือควัน, การเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือ ความร้อน, แสงแดด, อาหารบางชนิด (อาหารหมักดอง, ชีส, ไวน์) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรสังเกตและพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นนั้น โดยเฉพาะการรับประทานอาหารให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ การอดอาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ จากการศึกษาพบว่าการอดอาหารเป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ 40-57% เชื่อว่ากลไกน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง หรือเกิดจากการหลั่งของฮอร์โมนความเครียด อาหารและเครื่องดื่มส่วนมากจะออกฤทธิ์กระตุ้นอาการปวดศีรษะที่บริเวณเส้นเลือดของเยื่อหุ้มสมองส่วนนอก หรือที่เส้นประสาทคู่ที่ 5 ส่วนปลาย อาจมีสารในอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดที่ซึมผ่านเข้าไปออกฤทธิ์กระตุ้นอาการปวดศีรษะในสมองได้โดยตรง

 

กลุ่มอาหารที่กระตุ้นอาการปวดศีรษะ

การทราบถึงอาหารที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจะช่วยให้หลีกเลี่ยงสิ่งเหนี่ยวนำที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ อาหารที่พบว่าเป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะในผู้ป่วยไมเกรน เช่น แอลกอฮอล์ (29-35%), คาเฟอีน (14%), ชีส (9-18%), ผงชูรส (12%) เป็นต้น

1. สารไทรามีน (Tyramine)

พบเป็นองค์ประกอบธรรมชาติในอาหาร เช่น เนยแข็งที่บ่ม (Aged cheese), ปลารมควัน, เนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธียืดอายุ, ของหมักดอง, อาหารที่มีส่วนประกอบของยีสต์, เบียร์ เป็นต้น ผู้ที่มีความไวต่อสารไทรามีน เมื่อรับประทานอาหารเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง

2. สารแอสปาแตม (Aspartame)

เป็นสารให้ความหวานซึ่งหวานกว่าน้ำตาลปกติ 180 - 200 เท่า ถึงแม้จะไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน แต่ก็พบว่าในผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดศีรษะหลังรับประทานสารตัวนี้

3. ผงชูรส (Monosodium glutamate; MSG)

เป็นสารปรุงแต่งรสชาติอาหารที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง มักถูกใช้สำหรับปรุงรสชาติอาหารให้อร่อย ใช้ในอาหารกระป๋อง และอาหารพร้อมรับประทาน กลไกการกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะอาจมาจาก การกระตุ้นให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทบางชนิด หรือไปกระตุ้นให้เซลล์ของผนังหลอดเลือดหลั่งสารไนตริกออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว นำไปสู่อาการปวดศีรษะในที่สุด

4. ไนเตรต และไนไตรท์ (Nitrates and Nitrites)

เป็นสารกันบูดที่ใช้ในการถนอมอาหาร อาหารหมักดอง หรืออาหารรมควัน เช่น ไส้กรอก เนื้อรมควัน หรือปลารมควัน หลังจากรับประทานอาหารที่มีสารดังกล่าวอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในทันที หรืออาจจะใช้เวลานานกว่านั้น เป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้ กลไกการกระตุ้นให้ปวดศีรษะอาจเกิดจากสารดังกล่าวไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารไนตริกออกไซด์หรือสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวชนิดอื่นๆ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว ผู้ป่วยที่มีความไวต่อสารนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียม ไนไตรท์, โซเดียม ไนเตรต, โพแทสเซียม ไนไตรท์ และ โพแทสเซียม ไนเตรต

5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Alcohol)

โดยเฉพาะในไวน์แดง พบเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้บ่อย อาจจะทำให้มีอาการปวดศีรษะภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากดื่ม หรือเกิดตามมาในช่วงท้ายก็ได้ สาเหตุเกิดจากไวน์มีส่วนประกอบของไทรามีน, ซัลไฟท์, ฮีสตามีน, ฟลาโวนอย ซึ่งสารเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้

อาการปวดศีรษะหลังรับประทานแอลกอฮอลล์ (Alcohol hangover headache) สามารถเกิดได้บ่อย ซึ่งอาจรวมถึงอาการ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ใจสั่น หงุดหงิด สมาธิแย่ลง อาการปวดศีรษะดังกล่าวมักจะเกิดในเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการรับประทาน แอลกอฮอล์เมื่อร่างกายมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงและสามารถมีอาการดังกล่าว ยาวนานถึง 24 ชั่วโมงจนกว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะหมดไป

6. คาเฟอีน

เป็นสารที่พบในกาแฟ ชา โซดา และช็อคโกแลต ซึ่งรวมถึงยาแก้ปวดศีรษะที่มีส่วนผสมของสารนี้ คาเฟอีนจะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางขึ้นกับขนาดที่รับประทานเข้าไป โดยปกติจะพบในน้ำอัดลม 115 มิลลิกรัม คาเฟอีนในขนาด 50 - 300 มิลลิกรัมมีผลทำให้ร่างกายตื่นตัว หากมากว่า 300 มิลลิกรัมจะทำให้เกิดอาการวิตกกังวล กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ หงุดหงิด คาเฟอีนสามารถกระตุ้นให้ปวดศีรษะและยังสามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ ขึ้นอยู่กับขนาดและความถี่ของการใช้ ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ แนะนำให้หลีกเลี่ยงเครื่องดื่ม, อาหาร หรือยาที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน

คุณหมอกีรติกร ทิ้งท้ายว่าการดูแลตนเองของคนทั่วไปให้ห่างไกลจากอาการปวดศีรษะสามารถทำได้ไม่ยาก โดยอย่างแรกควรสังเกตและหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และตรงตามเวลาทุกวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหมจนเกินไป งดสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic stroke) งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ, ชา, น้ำอัดลม, เครื่องดื่มชูกำลัง และถ้าอาการปวดศีรษะรุนแรงมากขึ้น หรือมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ควรปรึกษาแพทย์ทันที เท่านี้ก็สามารถบอกลา...ไมกรนตัวร้ายได้แล้ว

 

เรืออากาศโท นพ.กีรติกร ว่องไววาณิชย์

อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook