เจิดๆ "แฟชั่นผ้าขาวม้า" เริงร่า หน้าร้อน แบบไทยๆ

เจิดๆ "แฟชั่นผ้าขาวม้า" เริงร่า หน้าร้อน แบบไทยๆ

เจิดๆ "แฟชั่นผ้าขาวม้า" เริงร่า หน้าร้อน แบบไทยๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ผ้าขาวม้า" อยู่คู่คนไทยมากว่า 500 ปี เทศกาลสงกรานต์นี้ ขานรับปีวัฒนธรรมแห่งอาเซียน "ASEAN Cultural Year 2019" จึงรณรงค์ให้แต่งไทยโดยใช้ผ้าขาวม้า มาร่วมงาน "Water Festival 2019" อย่างเต็มที่ เลยได้เห็น แฟชั่นผ้าขาวม้า เริงร่า หน้าร้อน แบบไทยๆ พร้อมบรรยากาศจัดเต็ม งานวัดแบบรื่นเริง มีทั้ง รำวงย้อนยุค สามช่า มวยทะเลฮาเฮ ชิงช้าสวรรค์ บูทผ้าขาวม้า ฯลฯ รวมไว้ในที่เดียว ณ ท่าน้ำ เอเชียทีค 


จากผ้าที่ใช้ในครัวเรือนและชีวิตประจำวัน ผ่านกาลเวลา  วิถีธรรมชาติ และภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิมในแต่ละหนแห่ง รังสรรค์ลวดลาย "ผ้าขาวม้า" ที่มีเอกลักษณ์ท้องถิ่นแตกต่างกัน "คุณต้องใจ ธนะชานันท์" ที่ปรึกษาเพื่อสังคม พัฒนาชุมชนฐานราก ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม เล่าให้ฟังแต่ต้น


ความเป็นมาผ้าขาวม้า
มาจากเปอร์เซียคำว่า "กามาร์บันด์" (Kamar Band) ซึ่ง "กามาร์" นั้นหมายถึง เอว หรือ ท่อนล่างของร่างกาย "บันด์" หมายถึง การพัน รัด หรือ คาด  สองคำมารวมกันคือ ผ้าพัน หรือ คาดสะเอว  จากหลักฐาน  คนไทยอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ตั้งแต่สมัยเชียงแสนที่ใช้ผ้าขาวม้า โพกศีรษะ ต่อมาผู้ชายไทยใช้ ผูกเอว และยังประยุกต์ใช้ประโยชน์หลากหลาย เช่น ใช้ห่อเก็บสัมภาระเดินทาง นุ่งเวลาอาบน้ำ เช็ดตัว ปูนอน ในยุคแรกคนไทยจะเรียกผ้าสารพัดประโยชน์ผืนนี้ว่า "ผ้าเคียนเอว" ก่อนจะเปลี่ยนเป็น "ผ้าขาวม้า" นานวันก็เกิดการแพร่หลายไปทั่วประเทศ


อาภรณ์ผูกพัน
ผูกพันในวิถีชีวิตแบบไทยๆ โดยแต่ละภาคจะมีลายทอ สีสันเส้นใยแตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะทอจากฝ้าย ไหม ด้ายดิบ หรือป่าน ในบางพื้นที่ ขนาดความกว้างประมาณ 3 คืบ ยาวประมาณ 5 คืบ คุณสมบัติที่สำคัญของผ้าขาวม้าคือ เป็นผ้าทอลายทางตรงและขวางตัดกันมีขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอเหมาะ ใช้งานได้หลากหลายสารพัดนึกยิ่งใช้นานยิ่งนุ่ม ซับน้ำได้ดี แห้งเร็ว ทนทานนานนับปี บางประเภทเป็นผ้าทอจากเส้นไหมราคาสูง มักใช้เป็นผ้าพาดไหล่ จนกระทั่งมีการนำผ้าขาวม้ามาเป็นชุดไทยพระราชทานชุดคาดเอว ถือเป็นจุดสำคัญที่ผ้าขาวม้าได้กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทย


คนไทยผ้าขาวม้ากว่า 500 ปี อาจเพราะ ทอง่ายสุด สารพัดประโยชน์ อีกทั้งวรรณคดี มีการใช้ภาพและบรรยายการแต่งกายด้วยผ้าขาวม้า หรือกระทั่ง เป็นเปลนอน ย่ามขนของ เรียกว่าสารพัดประโยชน์ เป็นงานทอ จากผ้าฝ้าย ไหม ด้ยดิบ   ทอลายตรงและขวางตัดกัน กว้าง 3 คืบ ยาว 5 คืบ ขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยิ่งใช้นานยิ่งนุ่ม ซับน้ำได้ดี แห้งเร็ว และทนทานมาก ยิ่งทำจากผ้าทอเส้นไหม ราคาสูงเป็นผ้าพาดไหล่ กระทั่งมีการนำมาเป็นชุดไทยพระราชทานชุดคาดเอว ถือเป็นจุดสำคัญที่ผ้าขาวม้ากลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ไทยด้วย


เอกลักษณ์ท้องถิ่น
แม้รูปแบบลายตรง ขวางตัด เป็นตารางจะเป็นเอกลักษณ์ของผ้าขาวม้า หากแต่ภูมิปัญญาของชุมชนแต่ละท้องถิ่นก็ได้รังสรรค์ลวดลายไว้แตกต่างกัน อาทิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ จะใช้ผ้าไหม, ปทุมธานี ใช้ใยบัว, ทางภาคใต้ จะมีลักษณะหนา, สุโขทัย จะเพิ่มลายเป็นรูปช้าง หรือบางที่ ทอลายลูกแก้ว แล้วแต่ภูมิภาค ทั้งนี้ลักษณะการใช้งาน ยังคงเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ หน้าร้อน เอามากันแดด เป็นหมวก เช็ดเหงื่อ ถึงเวลาทำเป็นถุงหอบหิ้วสัมภาระ งานรื่นเริงมัด คาดเอว เข้าร่วมไปในงานประเพณีสนุกสนาน


โอกาสในตลาดโลก
ความคลาสสิคของลาย การใช้งาน เรื่องราวต่างๆ ที่เป็นวิถีชีวิตชุมชน ทำให้ผ้าขาวม้าไทยมีจุดเด่น ไปได้ทุกที่ อีกทั้งลักษณะของผ้าเป็นธรรมชาติ ใช้วัสดุท้องถิ่น สีธรรมชาติ ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกนี้ สองปีก่อน ผ้าขาวม้าไปถึงญี่ปุ่นมาแล้ว งานแฟชั่นที่โตเกียว และเป็นไปได้ เรากำลังคิดถึงยุโรป ตอนนี้ก็เร่งพัฒนามาตรฐาน ทำให้นุ่ง สวมใส่ง่าย แล้วก็เพิ่มดีไซน์ ให้คนรุ่นใหม่ไม่รู้สึกว่าสวมใส่แล้วเชย

มาร่วมกันผลักดัน สินค้าไทยๆ ช่วยสร้างรายได้ชุมชน
มาลองๆ ค้นหาข้อมูลดู จะพบว่าแทบไม่มีจังหวัดไหน ในประเทศไทย ที่ไม่ผลิตผ้าขาวม้าเลย ดังนั้นเราคนไทยรุ่นใหม่ ต้องช่วยกันรักษา สือทอด และผลักดันสินค้าไทยให้ก้าวไกลสู่ตลาดโลกให้ได้ๆ ไหนๆ เทศกาลสงกรานต์ทั่วโลกให้ความสนใจแล้ว มาร่วมใจใส่ผ้าขาวม้ากันเถอะ 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook