Be Magazine : กันยายน 2555
การดำรงอยู่ที่มีความหมาย เจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน.
อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามองหรือรู้สึกกับมันอย่างไร แม้กายจะกระสับกระส่าย ก็อย่าให้จิตกระสับกระส่าย ดูเหมือนน้ำหนักของความเข้าใจที่ยังไม่ประสบเหตุร้ายอาจยังไม่เข้าใจถึงความหมาย ในขณะที่ผู้คนมากมายให้ความสนใจในเรื่องประสบความสำเร็จ แต่น้อยคนนักที่จะเรียนรู้ว่าความเจ็บปวดต่างหากคือยารสเอกชั้นดีของชีวิต แต่สำหรับ คุณเจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน เธอกลับค้นพบแสงสว่างและความหมายในการดำรงอยู่ เธอรู้ดีว่าสัมพันธภาพเป็นส่วนสำคัญของชีวิต ดนตรีและจังหวะสำคัญมากสำหรับชีวิต แล้วคุณผู้อ่านพอทราบไหมครับว่าอะไรที่สำคัญกับชีวิตของเรา และเราสามารถเรียนรู้คุณค่าและความหมายบางอย่างของชีวิต เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมานั่งนึกเสียใจภายหลัง
อะไรคือการมีชีวิตและคือการใช้มันอย่างคุ้มค่า ?
อันนี้เพิ่งรู้ว่า เมื่อสักประมาณเดือนนี้เดือนหนึ่งที่เกิดจากการนั่งสมาธิอย่างจริงจัง คำว่าจริงจังคือฟังพระเทศน์ไปด้วย ในซีดี โชคดีมากที่เรามีวิวัฒนาการนี้ ยังพอได้ฟังครูบาอาจารย์สอน เหมือนว่าเราจำเป็นมากที่จะต้องไม่เกิดอีก มันเป็นภารกิจของมนุษย์เลย คือเราไม่เกิดแล้ว มันเหมือนหมายถึงว่าเราควรตระหนักรู้ ว่าเราเกิดมา เกิดมา เกิดมา แล้วมันก็ทุกข์ซ้ำ ทุกข์ซ้ำ ทุกข์ซ้ำ ทุกข์ซาก สุขซ้ำทุกข์ซากอยู่อย่างนี้แล้วก็เหมือนเราทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งมันก็มีอยู่จริง สิ่งนี้สนุกมาก ถ้าเราทำความเข้าใจ พร้อมไปกับการดูแมททริค แมททริคเป็นการตีความพุทธศาสนาได้ยอดเยี่ยมมากๆ นี่เราเดาเอาหมดเลยนะ เราเดาว่ามันน่าจะมีจริงๆ
คือการเอาคีนูรีฟมาเล่น ซึ่งเขาเคยเอามาเล่นเป็นพระพุทธเจ้า แล้วมาเล่นเป็นนีโอ ประโยคแรกของแมททริค คือ เวคอัพนีโอ คือเราทุกคนไม่ได้ตื่น เรามีชีวิตไปตาม มันไม่ได้รู้ตัว ไม่ได้รู้ตื่นอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นว่า ก่อนหน้านี้เราทรงตัวไม่ได้เลยในเรื่องของคุณกบ มันจำเป็นมากที่เราจะต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว เราจะไม่ใช้ยานอนหลับหรือยาคลายเครียด หรือต้องออกไปเที่ยว เรารู้สึกว่าเราจะต้องอยู่แบบนี้ให้ได้ก่อน บ้านเราจะหักดิบฮาร์ดคอ ซึ่งช่วงก่อนหน้าเมื่อสอง-สามเดือน เราจะต้องหักดิบจากคุณกบ แน่นอนว่า โดด มันต้องแรง มันต้องโผน แต่มันต้องอยู่กันให้ได้ ช่วงเดือนแรก เดือนครึ่งเกือบสองเดือน เราไม่เอาใครมาอยู่ด้วยเลย คือว่าเราตกลงกัน ถามลูกก่อนว่าอยากให้แม่มาอยู่ไหม อยากให้ย่ามาอยู่ไหม อยากให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อนไหม สองคนนี้บอกว่าไม่ต้อง เขาบอกว่าเราก็ต้องอยู่กันอย่างนี้ มันคือช่วงที่หนักหนามาก ช่วงก่อนนอนของเราทั้งสามคน มันก็เป็นช่วงที่วัดใจ เราก็จะต้องประคับประคองกัน มันหนักอยู่อย่างนั้นสัก 3 อาทิตย์ที่หนักมาก
แต่อันนั้นคือ 3 อาทิตย์หลังจากงานเผานะ แล้วทรงๆ ทรุดมาเรื่อยๆ ทีนี้ความอยู่ได้ของเจี๊ยบมันไม่เสถียร อันที่จริงมันไม่ได้เข้าใจ มันจำเป็นต้องมากกว่า มันอยู่ในภาวะที่เราอ่อนแอมากไม่ได้ เราต้องจะดูอีก 2 คน มันเป็นงานที่ยากด้วย อันนั้นมันไม่แย่เท่ากับเขาเป็นลูกเราด้วย เราต้องดูแบบว่า ‘ฮึด' กับมันอะไรอย่างนี้ ก็เลยจำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยวอย่างรุนแรง ซึ่งก็ใช้วิธีสวดมนต์ แล้วก็นั่งสมาธิ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นคนนั่งสมาธิอยู่บ้างแล้ว เคยคุยเรื่องศาสนากับคุณกบบ่อยมาก กับแฟนชอบคุยกัน คุยในเรื่องของความมหัศจรรย์ เรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะ ในความเหนือมนุษย์ บรรยายแล้วเห็นเรื่องของกายวิภาคขึ้นไปได้ขนาดนั้น ซึ่งเรารู้สึกว่าเราคุยกันสนุกสนานมากกว่า ซึ่งมันก็ไม่ดีหรอกนะ แต่มันเป็นวิธีการคุยกันมากกว่า มันเป็นเรื่องหนึ่งที่เรามีรสนิยมใกล้กัน แล้วเราต้องการที่จะคุยกันแบบนี้ พอหลังจากที่คุณกบเสีย เราใคร่ครวญมากว่าจุดประสงค์ของเรื่องนี้มันเกิดอะไรถึงเป็นอย่างนี้ เรามีความรู้แล้วว่ามันต้องรู้ก่อนว่าจุดประสงค์ของเหตุการณ์ เหตุการณ์นั้นๆ เหตุการณ์ต่างๆ เหตุการณ์นี้ที่เกิดกับเรามันมีเพื่ออะไร มันมีเส้นบางๆ ที่เราต้องก้าวข้าม มันมีความรู้ที่เราต้องรู้เพิ่ม มันมีข้อเสียที่เราต้องแก้ไข เราก็เลยมาค้นพบว่า การตายของคุณกบ ข้อดีที่มหาศาลที่สุดเลย คือเพื่อให้เราเรียนรู้ที่จะเป็นคนดีขึ้น เพื่อที่จะให้เราเรียนรู้เพื่อจะมีศักยภาพมากขึ้น เพราะว่าเมื่อก่อนเราจะเป็นง่อย
แสดงว่าเมื่อก่อนคุณเจี๊ยบแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือใช้ชีวิตของคุณเจี๊ยบโดยปกติ ?
เลี้ยงลูกอย่างเดียว ยังไม่ตื่น แต่ปลุกลูกทุกเช้าเลยนะ เฮ้ยตื่นๆ แต่ไม่รู้ คือเป็นแม่ เป็นลูก เป็นภรรยา เป็นเพื่อน เป็นตัวเอง เป็นอยู่อย่างนี้ เข้าใจว่าเป็น เป็นฉันดี ฉันดี ฉันคือคนนี้ ฉันคือคนนี้ รู้ตัวตลอดเวลา แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่อะไรของเราหมดเลย พอคุณกบเสีย มันเหมือนกับว่าความที่มันถูกแบ่งเป็นสองโลกทันที ในส่วนของเจี๊ยบเป็นส่วนที่ต้องดำรงอยู่ให้ได้ด้วยนะ ก็คือเรื่องของการทำมาหากิน หาเลี้ยงชีพ กับส่วนที่ต้องดำรงอยู่ให้ได้ของจิตใจที่เราไม่มีคนนี้ คนนี้ของเรามันแปลว่าทุกคนเลย คือถ้ามนุษย์คนหนึ่งมีเพื่อนแท้คนหนึ่งที่พึงจะมีได้ เราก็มีคุณกบไง เพราะฉะนั้นมันเหมือนกับคนที่หายไปจากชีวิตเรา เขาเป็นเยอะเกินไป เกินกว่าที่เราจะตั้งสติอยู่ได้แบบที่ควรจะต้องเป็น
ทุกวันนี้เหมือนมีโลก 2 มิติ ทำให้คุณเจี๊ยบได้เรียนรู้ คุณรู้สึกอย่างไรกับทุกวันนี้ ที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมโลกปัจจุบันนี้ ?
เจี๊ยบว่าเราวุ่นวายกับการทำมาหาเลี้ยงชีพจนลืมดำรงชีพ เรามัวแต่ดำรงชีวิต แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิต มันง่ายกว่า เรามัวแต่แบบเช้า คือมันมีเรื่องมากเกินไปที่ทำให้เราห่างออก ห่างออกจากการได้สำรวจข้างในตัวเอง เรามีแต่สิ่งที่หล่อหลอมความไม่เป็นเรื่องจริงเยอะเกินไป เรามีตัวตนบนเฟสบุ๊ค ซึ่งความจริงเราไม่มีอะไรเลย เรามีตัวตนบนอินสตาแกรมอีก ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรเลย หรือเรามีตัวตนในบล็อกอีก จริงๆ มันไม่มีอะไรเลย เราไกล ไกลจากการสำรวจจิตใจตัวเองไปมาก ซึ่งไม่มีอะไรมาก จริงๆ แล้วเราสำรวจวุ่นอยู่กับสิ่งซึ่งมันเป็นกรรมของเรานี่แหละ คือมันปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ พอเราได้เงินมา มันก็ต้องมีเก็บ มีสะสม มีความโลภ มันถูกกระบวนการพวกนี้ กล่อมให้เราเชื่อว่า แม้ว่าเราเป็นคนดีในสังคมปกติแล้ว แต่เราก็ถูกกล่อมให้เชื่อว่าเราน่าจะอยู่รอดปลอดภัย แต่แท้ที่จริงคือเรากำลังเสียไปอีกหนึ่งชาติ หนึ่งชีวิตของเรา คือกว่าเราจะไปสนใจ กว่าเราจะหันเข้าไปหาตรงนี้มันก็ต้องเกิดเรื่องอะไรกับเราซะก่อน อย่างเช่นตัวเราก็ต้องถูกกระชากอะไรไปซะก่อน ชีวิตมันพังคือแบบที่เราต้องหาหลัก มันจึงได้เจอเรื่องนี้ คือถ้าคุณกบไม่ตาย ก็ยังไม่ขนาดนี้ คำว่าขนาดนี้ไม่ใช่แปลว่ารู้เยอะรู้มากนะ แต่มันหมายถึงว่ารู้แล้วว่าตอนนี้ ส่วนหนึ่ง เพียงหนึ่งในสามต้องให้ความสำคั
กับเรื่องนี้แล้ว
สืบเนื่องจากคำถามที่แล้ว คือทุกวันนี้บริบทในสังคมไทย อย่างที่คุณเจี๊ยบบอก คือเหมือนเราอยู่ในความขัดแย้ง ขัดแย้งอยู่ในความพอเพียง ขัดแย้งกันอยู่ในความสุข แล้วอนาคตของเราจะเดินต่อไปอย่างไร ?
ก็รู้ตัวเองให้มากที่สุดเลย ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ สถาบันไหนที่ต้องหยัดยืน ความหนาแน่นของความดีที่เราควรจะต้องมีต่อการให้เพิ่มขึ้น สถาบันครอบครัวเราก็เชื่อว่ายังเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุดเลย ที่จะสร้างคน เราไม่รู้ว่า เราเห็นคลิปเด็กๆ มัธยมหลายคน เราก็ว่าจะถามตัวเองว่า มันเกิดอะไรขึ้น มันจะมีความเฮี้ยวของวัยรุ่นระดับหนึ่ง ซึ่งสมัยเรา เด็กๆ เราก็ทำเรื่องแบบนี้ แต่ของเราแบบว่าแค่ปีนรั้วไปแล้วก็ เออ ซื้อไก่ย่างนะเว้ย แอบกินส้มตำในห้องมันจัญไรสุดแล้ว นึกออกเปล่า แต่เรื่องที่เราเห็นในคลิป มันใช่เหรอ การไปโรงแรมแล้วทำแบบนี้กัน มันใช่แค่ความเฮี้ยวเหรอ เราก็นึกต่อไปว่า ความเฮี้ยวของเด็กสมัยนี้มันเป็นอะไรกัน หรือว่าไอ้เรื่องที่เราทำ มันก็เป็นแค่เรื่องสิวๆ ปกติเหรอ เพราะฉะนั้นการที่จะแรงกว่านั้นมันต้องเป็นแบบนี้เหรอ เด็กถูกปิดกั้นเรื่องของเพศในทุกเรื่อง ทุกแง่ จากสื่อทุกสื่อ
จากหน่วยงานภาครัฐทุกชนิด แต่ในขณะเดียวกันเด็กก็ไปเปิดโรงแรมแล้ว เราก็ไม่เข้าใจว่าคนที่ทำเรื่องนี้ ทำการบ้านกับเรื่องนี้แบบไหน ทำรีเสิร์ช ทำวิจัยหรือเปล่า ทำสิ่งที่ควรต้องทำหรือยัง ไม่ใช่ว่าออกกฎหมายมา ติดเรทให้ภาพยนตร์ เฮ้ย แล้วสื่ออินเตอร์เน็ตคุณล่ะ คือ มันก็ไปปิดกั้นเรื่องแบบ พื้นๆ บ้านๆ ที่เอาไว้หลอกชาวบ้านว่าฉันได้ทำงานของฉันแล้วในตำแหน่งหน้าที่ของฉัน แต่ในความรับผิดชอบในหน้าที่จริงๆ ได้ลงไปคลุกคลีทำงานกับมันมากแค่ไหน มันไม่เหมือนกับมูลนิธิเด็กบางแห่งที่ใส่ใจเรื่องนี้จริงๆ คือลงไปดูแลเด็กที่เป็นอย่างนี้จริงๆ โอ้ มันเยอะเรื่องมากเลย ที่เรารู้สึกว่าเราอย่าไปหวังพึ่งหน่วยงาน หรือองค์กรในระดับใหญ่ เราดูแลลูกเราเองนี่แหละ ถ้าเขาแข็งแกร่งจากครอบครัว ถ้าเราวิเคราะห์และเราคุยกับเขา แล้วมันถึงจุดที่เขาต้องรู้เรื่องเพศศึกษา คุยเลย ไม่รู้นะมันต้องคุยเลย ถ้าเขาไม่รู้เรื่องนี้จากเราเขาก็ต้องไปรู้จากใครกัน มันน่ากลัวนะ
เราถูกสอนให้อยู่ในปัจจุบันขณะ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าการอยู่ในปัจจุบันขณะว่ามันคืออะไร อะไรคือการอยู่ในปัจจุบันขณะครับคุณเจี๊ยบ ?
ขอบอกว่าวิธีง่ายๆ นะ ง่ายๆ เลยให้นึกถึงความตายบ่อยๆ เมื่อเราเกิดเราก็ต้องตาย เมื่อไหร่ที่เราเกิด เราถูกบังคับด้วยความตายอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นหลังจากกินข้าวนี้ เข้าห้องน้ำไปไฟดูดตายเลย มันเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เมื่อก่อนนี้เราก็ อือ...ใช่ตาย แต่พอคุณกบตายปุ๊บ โอ้โห...ตาย เลเวลมันต่างกัน มันเหมือนแบบ ความทุกข์มันเป็นครูที่ดี มันดี มันเข้มงวด มันจริงจัง นักเรียนที่มันเรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง พอมันเจอครูคนนี้ มันอยู่เลย เมื่อก่อนเราเป็นนักเรียนที่เรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง เข้าใจว่าชีวิตได้อยู่แถวกลางอยู่นะ ไม่ถึงกับเด็กหลังห้องอย่างนี้ ยังพอเข้าใจนั่งเรียนอยู่กับคุณกบนี่แหละ แล้วเพื่อนตาย เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตาย แบบ เออ มันทันทีเลย มันพรึบๆ มันเลื่อนเก้าอี้ขึ้นไป ในระดับที่ว่ามันเริ่มที่จะเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่าจะรู้ทุกอย่างแล้วเก่งนะ มันเริ่มที่จะเข้าใจแหละ มันต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร แล้วให้นึกรู้บ่อยๆ ว่าเราไม่มี ไม่รู้จะอธิบายยังไง เกิดอธิบายผิดไปแล้วคนอ่านเข้าใจผิดจะแย่เลย แต่เราว่าเมื่อไหร่ที่เรานึกถึงความตายบ่อยๆ เราจะตื่นขึ้นมาหน่อยๆ ว่า ชีวิตเราไม่ได้เป็นอย่างที่เราวางแผนไว้สักเท่าไหร่นักหรอก มันจะเกิดอะไรขึ้น ตลอดเวลาเราไม่มีทางรู้หรอก
แต่ ณ ขณะปัจจุบันมันเป็น ณ ขณะที่ดีที่สุด เพราะมันคือสิ่งที่เราทำได้ เขาบอกว่าคนเรามีชีวิต คนเรามีอยู่สองอย่าง คือไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก็คิดถึงเรื่องอนาคต ไม่คิดถึงเมื่อวานก็คิดถึงพรุ่งนี้ จิตมันจะไหลคิดไปแบบว่า เดี๋ยวก็คิดนู่น คิดนี่ แต่มันไม่เคยอยู่กับตรงนี้เลย อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เลยให้นึกให้ออกบ่อยๆ ว่า เรากำลังกินข้าวอยู่ หมายถึงข้างในนะ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะบอกอย่างไรดี เราก็เลยใช้วิธีบอกเพื่อนว่า ก็นึกบ่อยๆ ว่าต้องตาย นึกบ่อยๆ แล้วก็เริ่มสอนลูกอีกแบบหนึ่งเรื่องความตาย สอนเพื่อที่จะให้เขาไม่ช็อคถ้าเราตาย เพราะมันเป็นได้อยู่ทุกขณะ มันไม่ได้แปลว่าคุณกบตายแล้วเราจะตายไม่ได้ไง เราก็ไม่รู้เลย เราขับรถออกไปไง มันเซนซิทีฟ มันอ่อนไหวง่าย เส้นมันแทบจะแบบ มีอยู่ตลอดเวลา ในความเป็นไปได้ มัน 50-50 ทุกวัน ถึงแม้ว่าชีวิตเราจะไม่อยู่ในความเสี่ยงก็เหอะ แต่ว่าความตายมันเป็นอย่างไรมันมีเสมอ แล้วเราก็รู้สึกว่าสิ่งที่คุณกบทำให้เรารู้สึกกัน เพื่อที่จะให้เราบอกลูก แล้วก็พาลูกไปในทางนี้ด้วยนะ พาลูกไปในทางที่ให้ตื่นรู้ เท่าที่เขาจะสามารถรับได้ แต่ที่สำคัญคือ ให้เรานึกถึงความตาย แต่เราต้องไม่กลัวตาย เราก็ต้องดำรงชีวิต เราก็ต้องใช้ชีวิตในบริบทของเราก่อน เราต้องรู้ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไปได้เสมอ แล้วสติอันนี้ สติที่เรารู้ว่าเราตายได้อยู่ทุกขณะนี้ ถ้าเรานึกถึงมันในแบบหนึ่ง ที่มันโอเคพอ มันจะทำให้เราปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นดีตลอดเวลา คำว่าผู้อื่นนี้ ไม่ได้แปลว่าใครที่ไกลตัวเลย มันแปลว่าคนที่เรารักและคนที่รักเรา
พอเรามีอายุมากขึ้น เราได้ใช้ชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเสน่ห์หรือเหตุผลในการใช้ชีวิตของเราเริ่มลดน้อยลงไปหรือเปล่าครับ ?
จริงๆ เรายังตื่นเต้นอยู่ทุกครั้งที่ได้เจออะไรที่มันไม่เคยมีใครได้เจอ เราชอบที่จะอยู่ในโลกนี้ ตรงไหนที่ยังไม่มีคนได้เจอ เราอยู่ตรงไหน มัน เออ เราชอบระหว่างทางที่มันไปจากเมืองนี้ไปอีกเมืองหนึ่ง และก็ได้นอกเส้นทางไปแบบที่เราไม่ได้วางแผน แล้วก็ไปตามถนนนี้ แล้วถนนนี้มันก็นำไปสู่เขาลูกหนึ่ง ที่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ แต่มันอยู่ตรงไหนบนโลก เรารู้สึกว่าภูเขาลูกนี้มันไม่ได้บังเอิญนะ เราไม่ได้อยู่ๆ เราจะมาเจอมัน มันไม่ได้มีการนัดเจอกันก่อนหน้านี้แหละ เพี้ยนไหม คือถ้าฉันไม่หลงฉันก็ไม่ได้เจอเธอนะ หรือว่าถ้าฉันไม่มีจิตที่นอกลู่นอกทางฉันจะไม่เจอเธอนะอะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราเจออะไรที่มันสวยงาม ที่มันเคยเห็นแล้วมันเป็นที่ที่เราได้ยืนคุยกัน ฉันชื่อวรรธนานะ เธอชื่ออะไรเหรอ ในความเป็นภูเขาแบบนี้เหรอ ของเธอล่ะ เราชอบนาทีแบบนั้นมากเลย ชอบที่สุดเลย แต่ว่ามันเป็นแบบส่วนตัวนะ ที่แบบมันก็แชร์ไม่ได้ เราจะถ่ายรูปนั้นอยู่ในรายการ มันก็ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะเราบังเอิญเจอ แล้วหน้าตาก็ไม่ได้ทรงคุณวุฒิไง มันก็เป็นภูเขา แต่เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราจะได้เจอกันนะ เราได้เจอกันแล้ว เราเจอกันมาก่อนหรือเปล่า เธออยู่ตั้งตรงนี้ เราอยู่ตรงไหน เธอรู้หรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นฉันต้องตามหาเธอนะ เธออยู่กับที่ วันๆ หนึ่งเธอเจอใครบ้างหรือเปล่า คือเรารู้สึกดีมาก คือการเป็นบุญเป็นคุณกับภูเขาลูกนั้น เราชอบเจอคนที่อยู่ในโจทย์ที่ต่างจากเราไป เราเคยเล่าเรื่องของคนชื่อวี่ เราไปเจอแม่บ้านคนหนึ่ง ชาวทิเบต เหมือนจะทำงานหนักมากเลย สามีก็ไม่ได้ทำอะไร ตื่นเช้าก็ทำนู่น ทำนี่ ทำนั่นแล้วก็ยังต้องกลับมา สามีก็ต้องมานั่งอยู่เฉยๆ พอถึงเที่ยงก็ต้องรีบมาทำกับข้าวแล้วก็ตั้งโต๊ะทำกับข้าว เราก็มาแบบว่าทำไมเธอไม่ให้คนนี้เขาทำกับข้าวให้เธออย่างนี้ เขาบอกไม่ได้ ตรงนี้มันคือที่ของฉัน ถ้าฉันไม่บอกให้กิน กินไม่ได้
คือเขาไม่ได้มองว่าการเป็นแม่บ้านนั้นแย่ โดนกินแรงแบบเอาอกเอาใจผู้ชาย เขามองว่าที่เขาทำทั้งหมดงกๆ มันคืออาณาจักรของฉัน ถ้าฉันตั้งข้าวและบอกเจี๊ยะ สั่งให้กินข้าวถึงจะกินได้ ถ้าเธอไม่บอกก็กินไม่ได้ เธอก็เจี๊ยะไม่ได้ไง เราก็แบบว่าเออ...จริง เขามีมุมที่ดี แล้วเขาก็บอกข้างนอกก็ของเขา เขาจัดการข้างนอก ฉันจัดการข้างใน มันเป็นตำแหน่งของความเป็นหยินหยางที่ดีมาก มันคือความรู้ตัวว่า บริบทของแต่ละคนคืออะไร ฉันต้องรับผิดชอบอะไร มันจะไม่มีการกินเส้น ล้ำเส้นกัน อย่างสังคมเมือง ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้านด้วย แต่มันก็ยังมีภาพ มันเป็นโดยดีเอ็นเอ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่มันก็ต้องตัดถุงพลาสติก ก็ต้องเทข้าว แล้วก็กิน แต่ถัดจากนี้ถ้าเรามองว่า ถ้าฉันไม่บอกว่ากินได้ เธอก็ยังกินไม่ได้ ให้มองว่าอาหารการกินที่เราคอนโทรลมันบอกหมดเลยนะ คือผู้หญิงดูแลเรื่องนี้อยู่ เป็นแม่แหละ แล้วมันแบบ เออ...เจ๋ง คือจบนะ
มีอะไรที่คุณเจี๊ยบเคยเชื่อ แล้วพอวันหนึ่งทำให้เราไม่เชื่อบ้างไหม ?
เชื่อหมอดู เคยเชื่อมาก่อน (หัวเราะ) บอกปีนี้จะเฮง คุณกบตาย งานเยอะ ไม่มีเลยนี่แหละ คือเมื่อก่อนนี้ยังมีอารมณ์เปิดดวงหลังแมกกาซีนบ้าง ตั้งแต่คุณกบตายปุ๊บ ไม่มีอะไรอย่างนี้อีกเลย เราก็ไปคิดว่า ถ้าเรามุ่งไปทางที่เราทำอยู่ การที่เรานั่งสมาธิ การที่เรามีสติ รู้ปัจจุบัน รู้จิตเรา ตามจิตเราทันว่าเราคิดดีหรือคิดไม่ดี เอาแค่นี้แหละพอแล้ว เราไม่ต้องไปรู้หรอกว่าดวงเราอนาคตจะเป็นยังไง รู้อันนี้ของเราไป ที่เหลือมันไม่มีประโยชน์เลย แล้วมันก็เห็นชัดว่า ก็ไม่ได้เฮงนะ ที่สำคัญ เรายังเชื่อในเรื่องกัลยาณมิตรมีอยู่ เราเชื่อว่าชีวิตเราจะมีคุณภาพเลย ถ้าเรามีกัลยาณมิตร ของคน สองคน สามคน คุณกบเป็นเพื่อนแท้ของเรา เป็นอันเดียวกันที่อยู่ข้างใน แต่เพื่อนที่มันไม่ต้องอะไรอีกเลย เราพ้นหลายๆ ช่วงชีวิตมาได้เป็นเพราะเพื่อน ทุกคนจะลงมาทำสิ่งที่เราชอบ ทำสิ่งที่เราโอเคและก็หยุดทำในสิ่งที่เราไม่โอเคในช่วงนั้น ไม่มีใครถามอะไรสักคำ ไม่มีการถามว่าเฮ้ย...แกไหวเปล่า เฮ้ย...แกกินข้าวบ้าง ไม่มี แต่สิ่งที่มันทำนั้นมันอยู่ตรงนี้เลยทันที ไม่ใช่แบบคนสองคน ทุกคนกรูกันลงมา
คนหนึ่งเอาลูกไป เฮ้ยกินไอติมกัน ทุกคนเอ็นเตอร์เทน แบบคลี่คลาย เราจำได้ว่าวันที่เราอยู่บนเมรุ คือวันที่เรารับแขก เราเริ่มไม่ไหวแล้ว เราอยากจะนั่ง แล้วเราจำไม่ได้ว่ามีญาติทางไหน อาจจะทางเราด้วยซ้ำไป ที่บอกว่าอย่าเพิ่งนั่ง รับแขกก่อน จะมานั่งตรงนี้ได้ไง มันน่าเกลียด แล้วเพื่อนเราคนหนึ่ง มันจะนักเลงหน่อยๆ ก็ไปลากเก้าอี้มาให้นั่ง นั่งเถอะ สามีเขา แต่มันพูดเป็นภาษาที่เราคุยกันแบบเพื่อนๆ ผัวแกตายทั้งคน แกนั่ง ไม่มีใครว่าอะไรแกหรอก เชื่อกู เป็นเพื่อนผู้ชายพูด หรือแบบเรากำลังคุยแบบสะโหลสะเหลแล้วมันเปิดโค้กมาป๊อก เดินแนวๆ คือเราต้องการน้ำตาล เราไม่รู้หรอก คือเราจะร่วงแล้ว คือ เรามีเพื่อนแบบนี้ เรารู้สึกว่ามันเดินแทรกเข้ามา โทษนะครับ แล้วก็ออกไป เรารู้สึกว่าแบบนี้นะมันไม่ต้องพูดอะไรเลย อะไรแบบนี้ แล้วก็มีแบบนี้หมดเลย แต่ไม่ใช่นักเลงหมดเลยนะ แบบว่ามีกิริยามารยาทงดงาม
ดนตรีสำคัญกับคุณเจี๊ยบขนาดไหนครับ ?
ตอนนี้ไม่ค่อยฟัง ฟังเพลงไม่ค่อยได้ ทางพระบอกว่ามันเป็นข้าศึกเลย ตอนนี้มันเป็นข้าศึกจริงๆ แล้วมีคนเคยบอกว่าแต่งเพลงให้คนมีอารมณ์เศร้านี่บาปนะ มันทำให้เขามีกิเลส คนที่เขาควรจะมีสติ ก็มาร้องไห้ ไปดึงความรู้สึกเขาขึ้นมา มันเป็นหน้าที่นักแต่งเพลง เราอยู่ตรงนี้มาตลอด อยู่กับอารมณ์ของคน เรากำลังจะร้องไห้ใช่ไหม เราอกหักใช่ไหม ได้ เดี๋ยวหนูแต่งเพลงให้เรา เดี๋ยวเราต้องรออย่างนี้ เออ...เดี๋ยวหนูจัดให้เราเอง ตอนเราเขียนข้างฟ้า จะมีคนเข้ามาในเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ ฟังเพลงเราแล้วร้องไห้ ร้องไห้ ตอนนั้นก็ปลื้ม
และจริงๆ แล้วมันยังสำคัญกับคุณอยู่ไหม ?
สำคัญในแง่ของอาชีพ การทำมาหาเลี้ยงชีพ การปลดปล่อยอะไรบางอย่าง เหมือนแบบคุณกบตายได้สัก 3 อาทิตย์ ช่วงนั้นต้องไปทำบุญบ่อย แล้วบางวันนั่งสมาธิดีๆ สวดมนต์ดีๆ ใจมันจะสบายหน่อยๆ มันเหมือนจะไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับเราสักเท่าไหร่ ก็คือเขาถึงวาระเขาตาย ก็ไว้ว่ากันใหม่อีกแบบหนึ่งก็แล้วไป ถ้าไม่ได้เจอกันก็อนุโมทนากันไป ได้ลาหรือไม่ได้ลา ก็ต้องลาแล้วอะไรอย่างนี้ วันนั้นก็แต่งเพลง อยู่ในรถมันก็มาเอง มันคือเพลงที่เราพูดในรายการเจาะใจนั่นแหละ เพลงที่เราไม่อยากให้มันเศร้าเลย อยู่ๆ วันนั้นเรารู้สึกว่าคนที่เราไม่อยากให้เขาเสียคนที่เขารักไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ภรรยา สามี ทุกข์มันได้เยอะแล้ว ถ้าเราได้แต่งเพลงเศร้า
โอเคมันได้ระบาย ปลดปล่อย หรือว่ากินใจเขา ในมุมหนึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่ค่อยได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ ในวันที่เราแย่ก็แย่มากเหมือนกัน เราอยากจะบอกตัวเองแบบไหน หรือให้กำลังใจตัวเองแบบไหนมากกว่า แล้วมันก็พบจากสิ่งที่เราพบว่า เขารักเราแค่ไหน เขาก็ไม่อยากเห็นเราเสียใจ ถ้าเขานั่งดูอยู่เขาเห็นเราร้องไห้ เขาทำอะไรไม่ได้เลย เอื้อมมือจับยังไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้เลย เราจะร้องไปให้เขาทุกข์ทำไม แล้วมันไม่ใช่การร้องที่เราจะได้มาเจอกันอีกต่อไปแล้ว ก็เลยเหมือนแบบเขาน่าจะอยากเห็นเราสุข เขาน่าจะอยากเห็นเราสนุกกับชีวิต ยังยิ้มกับชีวิต ยังไปจนสุดทาง ยังมีทุกอย่างที่จะต้องมี แล้วพึงทำเท่าๆ ที่คนๆ หนึ่งอยากจะพึงทำอะไรอย่างนี้ เราก็เลยแต่งเพลง รื่นรมย์ เราอยากจะบอกตรงนี้ว่าคนที่คุณพ่อ คุณแม่เสีย หรือวันนี้ลูกตาย เขาต้องไม่อยากเห็นใครสักคนหนึ่งเศร้าจากการที่เขาไป แล้วเราก็ควรจะอยู่ต่อแบบรื่นรมย์ อยู่ต่อให้ตัวเอง ให้เขา และก็ตั้งมั่นที่จะเป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันนี้คือน่าจะเป็นสิ่งดีๆ ที่ส่งต่อกันได้อยู่
ดนตรีได้ให้ปรัชญาอะไรกับการดำเนินชีวิตของคุณเจี๊ยบไหมครับ ?
เราว่าจังหวะมันสำคัญ คนเรามีจังหวะของตัวเขาเองอยู่ จังหวะของชีวิตแต่ละคน มันไม่มีอะไรตายตัว แต่เรียนรู้ได้ ตัวเราเองเราต้องเรียนรู้จังหวะของตัวเรา การอยู่กับคนอีกคนหนึ่ง ในบริบทไหนก็ตาม ก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับจังหวะเข้าไปด้วยกัน ไม่ต้องให้มันดูเป็นเนื้อเดียวกัน แต่มันต้องสอดคล้องแล้วไปด้วยกัน ถ้าโดนขัดตลอดเลยมันจะอึดอัด
อะไรคือการพัฒนาของคนดนตรี และอะไรคือการพัฒนาของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ เหมือนเอาสองอย่างมาเปรียบเทียบกันครับ ถ้าคนที่ทำงานศิลปะ หรือดนตรี คิดว่าอะไรคือการพัฒนาของเขา?
เราว่าทุกคนเลย ไม่ว่าจะดนตรี หรือคนทั่วไป หรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าเราให้เวลากับสิ่งที่เรารักจริงๆ สักวัน วันละชั่วโมงเดียว เขาเชื่อว่ามันจะบังเกิดผล คุณจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งเลยทันที เราเคยไปอ่านมาจากไหนไม่รู้ ให้เวลาตัวเองวันละ 1 ชั่วโมง 365 วัน แค่ 365 ชั่วโมง ในหนึ่งชั่วโมงคืออะไรก็ได้ที่คุณสนใจ คุณจะเล่นเปียโนก็ได้นะ คุณจะเริ่มเล่นเปียโนก็ได้ คุณจะหัดตีกอล์ฟก็ได้ คุณจะลดความอ้วนก็ได้ คุณจะให้เวลา 1 วันนั้น 1 ชั่วโมง เพื่อจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง 365 ชั่วโมงเท่านั้น คุณจะเป็นอีกคนหนึ่งโดยทันที เรารู้สึกว่ามันเข้าท่าดี คือมันเห็นความพยายาม มันเห็นระยะเวลาที่กำหนด คนเรามักจะใจร้อนใช่ไหม เมื่อไหร่ฉันจะผอม เมื่อไหร่ฉันจะสวย เมื่อไหร่ฉันจะเก่ง เมื่อไหร่ฉันจะรวย ไม่รู้ มีเวลาเท่านี้ วันละ 1 ชั่วโมง 365 ชั่วโมง ปีหนึ่งมันแป๊ปเดียวเองนะ แต่ถ้าคุณทำกับมันจริงจัง ให้ตัวเอง 100% จริงจังกับ 1 ชั่วโมงนั้น เราก็เชื่อว่าสิ้นปีมันต้องเปลี่ยนเพราะฉะนั้นนักดนตรีก็เหมือนกัน อะไรที่พัฒนา เราก็ว่าความเพียรนี้แหละ มันก็เป็นเหมือน ไม่รู้นะ เวลาที่งานค้างเยอะๆ อันนี้เราจำคุณกบมา งานค้างเยอะๆ บางทีคุณกบเขาไม่เห็นหนทางว่ามันจะเสร็จเลยนะ แต่เขาก็พระมหาชนกไปเรื่อยๆ เขาก็บอกว่า คือบางทีแบบรายการ เขาเป็นคนแบบว่าเป๊ะมากเลยใช่ไหม แล้วอีก 3 วันเอง ไหวเปล่า ไม่รู้ เหมือนจะไม่เห็นทางเลย แต่แบบไม่เป็นไร คุณกบก็วาดไปเรื่อยๆ แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ยเรารักเธอจัง
อะไรคือความงดงามของชีวิตคุณเจี๊ยบ ?
การได้รักใครสักคน และการได้รู้ว่าเขามีคุณค่ากับเราแค่ไหน ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกัน หรือไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วการที่เราได้ดีกับคนที่เรารัก มันเพิ่มอะไรหลายๆ อย่าง บางทีเล็กๆ น้อยๆ กับสิ่งที่เราให้ไป เราไม่มีทางรู้เลยว่า เราไปปลูกเพาะอะไรในใจคนไปมากมายขนาดไหน เรากับคุณกบก็เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้สมัยเป็นเพื่อนกัน จะชอบมีขนมอร่อยๆ เวอร์ๆ หลังรถ เช่น พวกซูกัสญี่ปุ่น เอาไว้แจกเด็กตามสี่แยก ซึ่งเป็นเหมือนกัน ต่างคนต่างเป็นแบบนี้ แล้วพอแบบเป็นแฟนกันแล้ว เราก็เอาขนมเรา แล้วขับรถไป ชอบขับรถเล่นตอนกลางคืน พอเจอตามแยกก็เรียกมาถาม กินขนมไหม น้องเมื่อไหร่จะสูง กินอะไรหรือยัง กินขนมไหม ก็ให้ขนม เราก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะจำเราได้ หรืออะไร แต่เราแค่รู้สึกว่า มีก็ให้เถอะแค่นั้นแหละ ถ้ามีพอก็ให้เถอะ การให้ที่ไม่รู้ เจี๊ยบเคยได้ตุ๊กตามาเวลาร้องเพลงตัวใหญ่มาก แล้ววันหนึ่งก็ขับรถเข้าบ้าน ตอนแรกตั้งใจจะเอาไปฝากลูก เราก็นึกในใจว่า โอ้โหของเล่นมันก็จะท่วมฉันตายอยู่แล้ว ก็ขับๆ อยู่ก็เจอลูกเด็กทำสวน ตัวสูงกว่าล้อรถยนต์นิดหนึ่งกำลังนั่งรอแม่อย่างเงียบๆ แม่กำลังตัดต้นไม้กวาดๆ ก็แบบเหยียบเบรกทันทีปุ๊บ เปิดประตูไป เฮ้ย! เปี๊ยกมานี่ แล้วนาทีที่เรายื่นให้ แววตา โมเมนต์นั้น มันแวบๆ รู้สึกว่า อือ...อิ่ม สบายมีความสุข เราอาจจะเสพติดเรื่องนี้นะ แต่ว่าไม่รู้นะในโลกที่แบบว่า อยู่ๆ มีคนถือปืนไปยิงคนในหนังอะไรอย่างนี้ อยู่ๆ ก็ไม่รู้ อะไรที่ดีต่อกันได้ก็ดีไปเหอะ น่าสงสารกันจะตาย
ผมอยากมีคำถามอีกหนึ่งคำถามแต่เห็นว่าคุณเจี๊ยบจบสวยแล้ว คือคำถามมีอยู่ว่าจริงๆ แล้ว วันนี้เราใช้ชีวิตอยู่บนความหวัง หรือความหลังครับ?
ไม่เป็นไรอยากตอบ ของเราตอนนี้เป็นความหวังแหละ แต่หวังแบบนาทีต่อนาที จริงๆ บนความรู้มากกว่าบนความหลัง เก็บไว้สนองกิเลสบางอย่าง บางทีเราก็นึกนะว่า เฮ้ย! ฉันจะลืมโมเมนต์ที่ฉันอยู่กับเธอวันนั้นยังไง มันช่างดีเหลือเกิน ถ้าชีวิตเรามันวัดกันที่ความสุขและความดีงาม วันนั้นฉันก็เป็นคนที่มีความสุขและความดีมากคนหนึ่ง ทำไมฉันต้องไม่นึกถึงมัน เพราะมันผ่านไปแล้ว พอนึกถึงมัน มันก็ทุกข์ทันที พอนึก ใจมันก็จะหวิวๆ ทันทีเลย แล้วพอนึกมันก็เริ่มมาแล้ว เรื่องอื่นก็ถาโถมเข้ามา เหมือนรถจอดอยู่ เฮ้ยประตูเปิดแล้ว เราเข้าไปเล่นมัน อะไรอย่างนี้