ศุภากร ประทีปถิ่นทอง เด็กวัดร้อยล้าน
‘เด็กวัด' คำนี้ทำให้คุณรู้สึกอย่างไร? แต่หากจะบอกว่าคนหนุ่มที่เห็นในรูปนี้มีฉายา ว่า ‘เด็กวัดร้อยล้าน' ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปไหม?
เพราะเขาคนนี้ไม่ได้เป็นแค่เด็กวัดธรรมดา ที่ตื่นเช้าเพื่อออกติดตามหลวงพี่ไปบิณฑบาต หรือช่วยงานวัดเมื่อจำเป็น แต่เขาอาศัยอยู่ที่วัดจริงๆ และได้ข้อคิดจากการพบเห็นคนที่เข้าออกวัดเพื่อปฏิบัติธรรม จนนำไปสู่ธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปที่มีมูลค่ากว่า 100 ล้าน ด้วยอายุเพียง 23 ปี จะว่าโชคเข้าข้างก็อาจจะฟังดู เป็นนามธรรมเกินไปเมื่อเทียบกับประสบการณ์ชีวิตที่เป็นของจริง และดำเนินมาจนพบกับความสำเร็จในวันนี้
"ตั้งแต่เด็กผมถูกเลี้ยงมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ถือว่าเป็นเด็กที่ โชคดี มีป๊ากับม๊า มีพี่น้องที่ดี มีครอบครัวที่มีความสุข แถมยังได้เจอกับ คนที่ดีๆ ไม่ว่าในการทำงานหรือเรื่องชีวิต ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาในชีวิตจะมีแต่คนดีๆ อย่างหลวงพี่ท่านก็เป็นคนที่ให้โอกาสผมมาตลอด"
นี่คือบทสนทนาแรกที่เกิดขึ้นระหว่างการสัมภาษณ์ ‘เอก ศุภากร' คนหนุ่มที่มีฉายาว่า ‘เด็กวัดร้อยล้าน' เขามีพี่น้อง 5 คน พี่สาว 1 น้องสาว 2 น้องชาย 1 นั่นเท่ากับว่าตัวเขาเป็นลูกคนที่ 2 ของบ้าน ซึ่งในความเชื่อของคนจีนถือว่าเป็นลูกชายคนโต และอาจจะโชคดีตรงที่ได้รับการปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องความรักครอบครัว ซึ่งจุดนี้เขาได้ซึมซับและปฏิบัติตามมาโดยตลอด "ที่บ้านผมไม่ได้เลี้ยงด้วยเงินนะ บ้านผมฐานะปานกลาง ป๊ากับม๊าไม่มีโอกาสได้มาประคบประหงมลูก ผมยังน้อยใจเลย เกิดมาป๊าม๊าไม่เคยไปรับไปส่ง เห็นพ่อแม่คนอื่นเขามาส่งลูก แต่เราไม่เคยมีเลยนะ ถ้าไม่ขึ้นรถตู้ก็นั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเอง เมื่อก่อนลำบากมาก เด็กๆ ที่บ้านเปิดร้านขายของชำ ป๊าจะสอนเสมอว่าถ้าอยากโตต้องทำธุรกิจด้วยตัวเองเท่านั้น เป็นลูกจ้างเขายังไงเราก็ไม่มีวันโต"
แล้วชีวิตพลิกผันไปอยู่วัดได้อย่างไร เรานึกสงสัย "เริ่มจากป๊ากับม๊าผมชอบเข้าวัดทำบุญ วันหนึ่งตอนอายุ 13 ก็พาลูก 5 คนไปทำบุญวันเข้าพรรษาที่วัดท่าไม้ ทุกคนเข้าไปกราบหลวงพี่อุเทนกันหมด แต่ผมขอนั่งดูทีวีรออยู่ในรถ ท่านก็บอกให้มาตามผม ไปถึงผมก็เข้าไปกราบท่าน พอเจอกันท่านพูดว่า "มาเป็นลูกศิษย์ มาเป็นน้องชาย ฉันไหม" ท่านบอกต่อว่าเห็นหน้าผมแล้วน่าจะเป็นคนที่สามารถจะส่งบุญต่อจากท่านได้ เพราะหลวงพี่เป็นคนที่ชอบทำบุญมาก ท่านสร้างมูลนิธิ สร้างถาวรวัตถุไว้เยอะมาก"
คำว่า ‘เด็กวัด' เรามักจะใช้เรียกเด็กที่ขาดโอกาส ในเมื่อฐานะทางบ้านไม่ได้มีปัญหา ทำไมถึงตัดสินใจไปอยู่วัด
"ผมรู้สึกดีนะที่คนอื่นเรียกผมว่าเด็กวัด คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเด็กวัดต้องเป็นคนที่ลำบาก พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสียเลยมาฝากพระ ซึ่งที่บ้านผม ไม่ได้ขัดสนอะไร แต่พอวันหนึ่งมาเจอหลวงพี่แล้วมาเห็นท่านทำงานหนักเพื่อส่วนรวม ผมก็เกิดความคิดว่าอยากจะช่วยท่านให้ได้มากที่สุด
แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก หลังจากที่ท่านชวน 1-2 เดือนผมจะมาสักครั้ง จน 2-3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุ 19 เพิ่งเข้าเรียนที่ศิลปากร (คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ เอกวารสาร- ศาสตร์และหนังสือพิมพ์) ลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ผมเลยตั้งใจจะเข้าวัดมาช่วยงานหลวงพี่สัก 2-3 วัน แต่หลังจากนั้นกลายเป็นสัปดาห์ เดือน ปี อยู่มาเรื่อยๆ จนผมไม่รู้ตัว ผมไป-กลับวัดทุกวัน เย็นๆ จะเข้าไปกินข้าวกับครอบครัวก่อน เวลาบอกเพื่อนว่าอยู่วัดก็ไม่มีใคร เชื่อ เวลากลับเร็วก็หาว่าผมไปจีบสาว จนวันหนึ่งบังเอิญเขามาเจอผมที่วัด ถึงได้เชื่อว่าผมอยู่ที่วัดจริงๆ (ยิ้ม)"
หน้าที่ของคุณเมื่ออยู่วัด
"งานส่วนใหญ่ของผมคือการดูแลหลวงพี่ ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างที่ผมจะสามารถช่วยได้ เหมือนเป็นเลขาท่านด้วยเพราะแต่ละวันคนมาหาหลวงพี่เยอะมาก ทำความสะอาดกุฏิ เตรียมอาหาร ล้างห้องน้ำ ซักจีวร ทุกวันนี้ผมก็ยังอยู่วัด ได้ดูแลหลวงพี่ ดูแลญาติโยม พร้อมกับวิ่งไปคุมไซต์งานที่กำลังก่อสร้างอยู่"
จากอยู่วัดมาทำธุรกิจได้อย่างไร
"อย่างที่ป๊าสอนว่าอยากโตต้องทำธุรกิจด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าเป็นลูกจ้างเขายังไงก็ไม่มีวันโต ระหว่างเรียนช่วงประมาณปี 3 เทอม 2 ผมจึงพยายามมองหาธุรกิจที่เราจะทำได้ด้วยตัวเอง บวกกับการที่ผมได้มีโอกาสอยู่ใกล้หลวงพี่ มาหลายปี ผมได้เจอและรับฟังปัญหาของคนที่เข้ามาปรึกษาหลวงพี่อยู่ตลอด จนวันหนึ่งมีคนมาปรึกษาหลวงพี่ว่าเขามีเครื่องจักร มีเงิน แต่ไม่มีที่ทำมาหากิน ผมจึงเกิดไอเดีย เพราะตอนนั้นที่บ้านก็กำลังทำธุรกิจอสังหาฯ อยู่ บวกกับไปเห็นที่ดินผืนหนึ่งแถวๆ บ้าน มีพื้นที่ 10 ไร่ ราคาอยู่ที่ 20 ล้าน เขาติดป้ายขายไว้ ผมก็กลับมาบอกป๊า ป๊าก็บอกว่าเคยผ่านไปดูป๊าก็ชอบ"
คุณเอาเงินทุนมาจากไหน
"เงินก้อนแรกนี้มาจากลูกศิษย์หลวงพี่คนหนึ่ง ผมปรึกษาเขาว่าผมมีไอเดียจะทำธุรกิจประมาณนี้ เขาก็กลับไปปรึกษากับพ่อของเขา ก่อนจะกลับมาบอกว่าตกลงยอมเป็นนายทุนให้ผม เขาให้เงินก้อนแรกผมไปวางมัดจำซื้อที่ 2 ล้าน แล้วเอามาบวกกับเงินเก็บของผมที่พอมีอีกก้อนหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า การที่เรามีคอนเน็กชั่นที่ดีก็สามารถที่จะสนับสนุนไอเดียและงานของเราได้"
โปรเจ็กต์ธุรกิจ ‘โรงงานสำเร็จรูป' ของคุณที่มีมูลค่าถึงร้อยล้านเป็นอย่างไร
"มันเกิดจากไอเดียที่ว่า ผมอยากสร้างบ้านที่เป็นบ้านพักของเจ้าของ และมีที่วางเครื่องจักรให้เขาทำงานได้ จบที่เดียวโดยไม่ต้องเดินทาง (ยิ้ม) ที่นี่คือ แพนด้าแลนด์ มินิแฟคทอรี่ อยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ ซึ่งผมแบ่งออกเป็น 8 ยูนิต ยูนิตละ 1 ไร่ ส่วนอีก 2 ไร่ ผมทำถนนคอนกรีตไว้ตรงกลาง ใน 1 ยูนิต ประกอบด้วย ออฟฟิศ ห้องพัก 2 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ มันเป็นโรงงานสำเร็จรูปที่เราสามารถตอบโจทย์คนที่จะเข้ามา ซึ่งเขามีแค่ เครื่องจักรและมีเงินทุนก็ผลิตได้แล้ว และคนที่มาจุดประกายความคิดนี้ ให้ผมก็คือ คุณลุงที่มาหาหลวงพี่คนนั้น ต้องขอบคุณเขามากๆ ครับ"
คุณขายยูนิตละเท่าไหร่ ตอนนี้โครงการคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว "เริ่มต้นที่ 12 ล้านครับ สูงสุดอยู่ที่ 14 ล้าน ตอนนี้ผมขายหมดแล้ว เพราะช่วงที่เปิดโชคดีตรงที่ คนที่ย้ายเข้ามาเป็นคนที่หนีน้ำท่วมจากแถวบางบัวทองบ้าง บางใหญ่บ้าง จะมากันหมดเลย ผมตั้งเป้าไว้ว่า จะเสร็จภายใน 3 ปี"
สิ่งที่คุณได้จากการทำงานครั้งนี้
"การทำงานครั้งนี้ทำให้ผมรู้เลยว่า ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่เราวางตัว อยู่ที่ว่าเรากล้าตัดสินใจหรือกล้าที่จะทำหรือเปล่า เพราะสิ่งที่เราขายตอนแรก คือการขายฝัน ขายกระดาษ ขายจินตนาการ ขายไอเดียให้เขาดูว่า เราจะทำแบบนี้ๆ อีกเรื่องที่สำคัญคือคอนเน็กชั่น ผมว่าการที่เรามีคอน-เน็กชั่นที่ดีก็สามารถช่วยให้เราก้าวได้เร็วขึ้น ทุกอย่างมันสอนให้ผมโตขึ้น ทุกวันนี้เงินที่ได้มา หรือว่าระบบบัญชีผมจะยกให้แม่ดูแล ผมจะพยายาม ไม่จับเงิน ไม่เห็นเงิน เพราะถ้าเห็นเงินจะทำให้เราใจใหญ่ได้ใจ ที่ทำโปรเจ็กต์ นี้เพราะอยากให้ป๊ากับม๊ารู้ว่าเราสามารถดูแลพี่น้องได้ เขาก็บอกอยากทำทำเลยเขาเอาใจช่วย ถ้าลำบากตรงไหนไม่ไหวตรงไหนก็บอก ผมคิดว่าผมมีกำลังใจที่ดีมาก"
ในฐานะคนรุ่นใหม่มองธุรกิจทุกวันนี้อย่างไร
ผมมองว่าทุกวันนี้ธุรกิจเป็นเรื่องของการแข่งขัน ถ้าเราเริ่มเร็ว รีบเดินเร็ว เราก็จะถึงเร็ว คิดแล้วทำเลย ผมคิดมาตลอดว่าการที่ผมได้อยู่ใกล้พระพุทธศาสนา ได้เกิดมาเป็นคนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะเราไม่รู้ว่าชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคนอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นชีวิตหนึ่งใช้ให้เต็มที่ ถ้าผมปล่อยช่วงอายุ 23 แล้วไปทำตอนอายุ 30 ผมจะกลับมามองช่วง 23 ไม่ได้แล้วนะ เพราะเวลามันผ่านแล้วผ่านเลย แต่ถ้าผมเริ่มตอน 23 แล้ว ผิดพลาด อย่างน้อยตอนอายุ 30 คุณหันกลับมามองตอนอายุ 23 คุณก็จะได้รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง จะแก้ไขได้อย่างไร อย่าปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปเสียเปล่า ถ้าคนทำงานจะรู้ว่าเงินทองไม่ใช่สิ่งที่มีค่า แต่เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า"
เป้าหมายสูงสุดที่คุณวางไว้ในอนาคตคืออะไร
"ผมอยากส่งต่อธุรกิจนี้ไปให้คนอื่นๆ ทำ หมายถึงคนในครอบครัวหรือคนที่เขามีความสามารถ ถ้าผมมีลูกผมก็อยากจะรีบส่งต่อธุรกิจนี้ไปให้ลูกได้เรียนรู้ จะได้ทำงานเร็วๆ เพราะผมคิดว่าผมเป็นคนที่โชคดีตั้งแต่เด็กๆ ที่ได้รับโอกาสที่ดี มีป๊ากับม๊าที่คอยสอนและให้กำลังใจ มีหลวงพี่ที่ให้โอกาส ถ้าเกิดเราไม่ให้โอกาสคนอื่นเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เขารัก และในวันหนึ่งถ้าเขาสามารถต่อยอดโอกาสที่ได้รับ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเราเป็นคนให้โอกาสเขาแล้ว เหมือนธุรกิจของผม ถ้ามันเจริญรุ่งเรืองแล้วผมยังถือครองไว้จนอายุประมาณ 60-70 ถึงตอนนั้นผมพักไม่ได้แล้ว ทิ้งก็ไม่ได้ ปล่อยก็ไม่ได้ แล้วชีวิตมันคืออะไร คือการทำงานเหรอ เพราะฉะนั้นผมจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเท่าที่ตัวเองยังมีแรง เพราะถ้าส่งต่อเร็วผมก็จะได้พักเร็ว อีกเรื่องที่ผมได้จากหลวงพี่คือ ท่านจะบอกเสมอว่า ผมเป็นคนมีบุญที่ได้ทำงานวัด ได้อยู่ใกล้ชิดศาสนา และเรื่องที่ท่านสอนเสมอคือ ‘ความกตัญญู' เมื่อก่อนหลวงพี่ไม่ได้เรียนหนังสือเพราะต้องดูแลแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตตั้งแต่เด็กๆ ท่านจะเล่าถึงความลำบากของท่าน และที่ผมเห็นทุกวันคือ ท่านทำเพื่อ ส่วนรวมมาโดยตลอด ยังไงส่วนรวมต้องมาก่อน พี่น้องก็ต้องมาก่อน ซึ่งท่านพูดเหมือนป๊ากับม๊าผมเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่ทำให้ครอบครัวมีความสุข ผมยอมแลกได้ทุกอย่าง"
เท่าที่ฟังมาเหมือนเป็นคนที่ โชคดีมากไม่ว่าเรื่องอะไร เคยมีเรื่องที่พลาดหรือทำให้รู้สึกเสียใจบ้างไหม
"มีอยู่ช่วงหนึ่งคือช่วงแรกๆ ที่ผมตัดสินใจเข้ามาอยู่วัด เป็นช่วงที่คิดว่ามันเปลี่ยนชีวิตตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้ วันที่เดินออกมาจากบ้านผมคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนท่าน แต่หลังจากนั้นผมกลับได้ทำทั้งสองอย่าง คือดูแลพ่อแม่และดูแลหลวงพี่ ซึ่งทั้งสามท่านนี้เป็นผู้ที่มีพระคุณกับผมมาก จากที่รู้สึกเสียใจเลยกลายเป็นเรื่องน่าดีใจมากกว่า (ยิ้ม)"
และไม่ต้องแปลกใจ ถ้าหลังจากนี้คุณจะพบเห็นหน้าหล่อๆ ของเขาตามสื่อต่างๆ เพราะแว่วว่ากำลังจะกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่ฉายแสงเจิดจ้าในวงการบันเทิงอีกคน เพราะด้วยความกตัญญู รักครอบครัว ใฝ่ธรรมะ และตั้งใจทำมาหากินนี้เองที่ส่งผลให้เขามีวันนี้
"ต้องขอบคุณคุณนิด (อรพรรณ วัชรพล) ที่ให้โอกาส ท่านเห็นว่า ผมเป็นคนกตัญญูและรักพี่น้องจึงสนับสนุน ท่านพูดมาคำหนึ่งว่า เมื่อผมเป็นคนกตัญญู อ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจะต้องส่งเสริมคนกตัญญูให้เจริญก้าวหน้า"
บทสรุปขอจบตรงที่ว่า แม้ต้นทุนในชีวิตของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่หากเราไม่ลืมผู้มีพระคุณและมีความกตัญญูเป็นที่ตั้ง ก็สามารถนำพาให้ชีวิตของเราก้าวเร็วกว่าคนอื่น เช่นเดียวกับคนหนุ่มใฝ่ดีที่รักดีคนนี้ี หรือคุณว่าไม่จริง!