หูฟัง เป็นอันตรายต่อเด็กและวัยรุ่นได้อย่างไร
เด็กๆ และวัยรุ่นในปัจจุบันไม่ได้ใช้ หูฟัง เพียงเพื่อฟังเพลงที่ชอบ แต่เด็กๆ ยังใช้หูฟังสำหรับการโทรศัพท์ การดูภาพยนตร์ออนไลน์ หรือเล่นเกมในมือถือ ซึ่งทำให้เด็กๆ ใช้หูฟังนานหลายชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว จนอาจส่งผลเสียต่อการได้ยินได้
การใช้หูฟังของเด็กและวัยรุ่น
งานวิจัยยืนยันการฟังเสียงดังเป็นเวลานาน จะนำไปสู่การสูญเสียการได้ยิน โดยจากการศึกษาวิจัยในช่วงปีปี 2011-2012 จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ซึ่งใช้ทั้งการทดสอบการได้ยินและการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ใหญ่มากถึง 40 ล้านคนในสหรัฐฯ ที่อายุต่ำกว่า 70 ปี สูญเสียการได้ยินของหูข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างจากการได้ยินเสียดังเป็นเวลานาน และในการศึกษาวิจัยอีกชิ้นหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ที่เน้นถึงความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการใช้หูฟังกับการสูญเสียการได้ยินในเด็ก ซึ่งสำรวจเด็กวัย 9-11 ปี มากถึง 3,116 คน ก็พบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างใช้เครื่องเล่นเพลงแบบพกพา และมีความสามารถต่ำมาก ในการได้ยินเสียงที่มีความถี่สูง เนื่องจากมีภาวะประสาทหูเสื่อมจากเสียง (noise-induced hearing loss) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้เครื่องเล่นแบพกพา
ภาวะสูญเสียการได้ยินคืออะไร
การได้ยินเสียงเกิดจากการทำงานของ 3 ส่วนภายในหู ได้แก่ หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน โดยส่วนหนึ่งของหูชั้นในเรียกว่า คอเคลีย (Cochlea) หรือหูชั้นในรูปหอยโข่ง จะมีเซลล์ขนหูเล็กๆ อยู่ โดยเซลล์ขนหูมีหน้าที่ช่วยส่งสัญญาณไปที่สมอง ทำให้เราได้ยินเสียง แต่การได้ยินเสียงดังสามารถสร้างความเสียหายให้เซลล์ขนหู จนอาจส่งผลให้คอเคลียในหูชั้นใน ไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ดีเหมือนเดิม ส่งผลให้เกิดปัญหาการได้ยิน หรือภาวะประสาทหูเสื่อมเนื่องจากเสียงแบบถาวร ทำให้บางครั้งก็เรียกอาการนี้ว่า โรคหูหนวกบางส่วน
นอกจากภาวะประสาทหูเสื่อมแล้ว การได้ยินหรือฟังเสียงดังๆ เป็นเวลานาน ยังทำให้เกิดโรคเสียงอื้อในหู (Tinnitus) ซึ่งเป็นอาการที่เหมือนได้ยินเสียงบางอย่างอยู่ในหู หรือเหมือนถูกอุดหู ซึ่งอาการนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้แบบถาวรเช่นกัน โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า โรคเสียงอื้อในหูสามารถเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่ได้ฟังเสียงเพลงที่ดังมากเกินไป แต่เนื่องจากการใช้หูฟังอุดอยู่ในหูเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ทำให้หูล้าจากการได้ยินเสียง และเมื่อมีการใช้หูฟังต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หูที่ไม่ได้พักอย่างเต็มที่ ก็จะเกิดอาการของโรคเสียงอื้อในหูได้ อย่างไรก็ตาม อาการนี้ก็อาจขึ้นได้จากอีกหลายสาเหตุเช่นกัน
ดังแค่ไหนที่ถือว่าดังเกินไป
โดยปกติแล้ว เสียงในการสนทนาตามปกติ จะอยู่ที่ประมาณ 60 เดซิเบล ซึ่งเป็นระดับที่ถือว่าปลอดภัยสำหรับการได้ยินของเรา แต่ถ้าเป็นเสียงที่ดังประมาณ 85 เดซิเบล สถาบันโรคหูหนวกและอาการผิดปกติด้านการสื่อสารอื่นๆ แห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ถือเป็นเสียงที่อยู่ในระดับที่สามารถทำความเสียหายให้กับการได้ยินได้แล้ว และเสียงนี้ก็เทียบได้กับเสียงการทำงานของเครื่องผสมซีเมนต์ที่เราเห็นตามที่ก่อสร้าง ซึ่งหากได้ยินเสียงขนาดนี้แค่ 8 ชั่วโมง ก็สามารถส่งผกระทบต่อหูของเราได้แล้ว เสียงปกติที่เราได้ยินในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นเสียงรถไฟใต้ดิน อาจดังได้ถึง 90 เดซิเบล ขณะที่เสียงเครื่องบินขณะบินขึ้นนั้นดังถึง 120 เดซิเบล
อย่างไรก็ตาม หากเราไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆ เราก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่ แต่ความเสียหายจะเกิดขึ้น เมื่อเราได้ยินเสียงดังขนาดนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆ แล้วเสียงในหูฟังที่เปิดดังอย่างเต็มที่ล่ะ? รายงานชิ้นหนึ่งระบุว่า ถ้าเปิดอย่างเต็มที่ มันก็อาจดังได้ถึง 100 เดซิเบล ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความดังที่ถ้าเราได้ยินต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ย่อมสร้างความเสียหายให้แก่การได้ยินของเราอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ความดังของเสียงไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวของการเกิดปัญหากับการได้ยินของเรา แต่ระยะเวลาในการได้ยินเสียงดังๆ เป็นเวลานานต่างหากที่อาจจะสำคัญกว่า และในเด็กและวัยรุ่นที่นิยมเสียบหูฟังติดหูอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เปิดเสียงดังอย่างเต็มที่ ก็ยังสามารถทำให้เกิดปัญหาการได้ยินได้
สัญญาณและอาการของภาวะสูญเสียการได้ยิน
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ รายงานว่าการสูญเสียการได้ยินในเด็ก จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการพัฒนาการฟัง พัฒนาการด้านภาษา และทักษะการเข้าสังคม โดยสัญญาณและอาการของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก มักจะมีอาการแตกต่างกันไปในเด็กและวัยรุ่นแต่ละคน โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้
- เปิดเสียงโทรทัศน์เสียงดังมาก
- ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง (เนื่องจากไม่ได้ยิน)
- เด็กๆ ดูไม่สนใจคุณ
- ขอให้คุณพูดซ้ำ หรือแสดงอาการว่าไม่ได้ยินเสียงคุณในทีแรก
เราจะช่วยปกป้องเด็กๆ ได้อย่างไร
อย่างที่ได้บอกแล้วก็คือ เวลาในการได้ยินเสียงดังๆ มีความสำคัญพอๆ กับความดังของเสียง ดังนั้น เพื่อที่จะปกป้องเด็กๆ จากปัญหาเรื่องการได้ยิน พ่อแม่ควรใช้กฎในการฟัง 60% ต่อ 60 นาที สำหรับการใช้หูฟังของเด็กๆ นั่นก็คือ
- ควรฟังเพลง ดูภาพยนตร์ หรือเล่นเกมด้วยความดังของเสียงที่ไม่เกิน 60%
- จำกัดเวลาในการใช้หูฟัง โดยใช้หูฟังไม่เกิน 60 นาที
- อีกเทคนิคหนึ่งคือให้ลองฟังเสียงด้วยตนเอง หรือถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่าพวกเขาได้ยินเสียงจากหูฟังหรือไม่ ถ้าคนอื่นได้ยินเสียงจากหูฟังนั่นหมายถึงว่าเสียงดังจนเกินไป จนอาจเป็นอันตรายต่อหูได้ ให้ลดเสียงลงจนเหลือ 60% หรือจนกระทั่งผู้อื่นไม่ได้ยินเสียงที่ดังเกินออกมา
นอกจากนี้ลักษณะของหูฟัง ก็สาารถช่วยได้เช่นกัน โดยหูฟังแบบที่สอดใส่เข้าไปในหูสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อการได้ยินมากกว่า เนื่องจากการมีแหล่งของเสียงอยู่ภายในหู สามารถเพิ่มความดังของเสียงขึ้นไปอีก 6-9 เดซิเบล ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า หูฟังแบบที่ครอบอยู่ด้านนอกของหูอาจจะปลอดภัยกว่า และหากเลือกแบบที่มีเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน ก็จะทำให้เราไม่ต้องเปิดเสียงเพลงดังจนเกินไป อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่าหากใช้หูฟังแบบครอบหูเป็นเวลานานๆ และเปิดเสียงดังมากๆ มันก็สามารถทำความเสียหายให้หูเราได้เช่นกัน
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค และการรักษาโรคแต่อย่างใด