อดีตกรรมกร! "เป๊กกี้ สิราภรณ์" สู้ชีวิตจนรวย พลิกเป็นเศรษฐี

อดีตกรรมกร! "เป๊กกี้ สิราภรณ์" สู้ชีวิตจนรวย พลิกเป็นเศรษฐี

อดีตกรรมกร! "เป๊กกี้ สิราภรณ์" สู้ชีวิตจนรวย พลิกเป็นเศรษฐี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน แต่ความขยันจะไม่มีวันทำให้อดตาย "เป๊กกี้ สิราภรณ์ สงสอน" อดีตกรรมกรขี่มอเตอร์ไซค์ฮ้าง พิสูจน์เรื่องนี้มาแล้วด้วยสองมือและน้ำตา เรื่องราวของเป๊กกี้เป็นที่เลื่องลือในเมืองพิษณุโลกมาก จากรรมกรแบกหามสองคนกับแม่ ต้องขัดส้วม ขายน้ำ เดินเท้าขึ้นเขานับ 10 กิโลเพื่อหาหน่อไม้มาขาย เป๊กถีบตัวเองมาทำอาชีพเสริม และเก็บเงินทำสินค้าของตัวเอง ประสบความสำเร็จกลายเป็นเศรษฐี มีบ้าน 3 หลัง ขับรถสปอร์ต หิ้วกระเป๋าใบเป็นล้าน ภายในระยะเวลาแค่ 3 ปี กลายเป็นเจ้าแม่เครื่องสำอางค์ SWP

ปัจจุบันเป๊กกี้สวยเริ่ดจนได้ชื่อว่าเป็น "ชมพู่ อารยา แห่งเมืองพิษณุโลก" ทั้งสไตล์การแต่งตัว หน้าผม ไลฟ์สไตล์ เรียกว่า เดินตามรอยชมพู่เลยทีเดียว วันนี้เป๊กกี้มีทุกอย่างแบบที่ทุกคนฝันอยากมี และก็อยากจะแบ่งปันความฝัน ถ่ายทอดความสำร็จให้กับทุกคน ด้วยการลุกขึ้นมาเปิดสอนเคล็ดลับพิชิตความจนฟรี อดีตกรรมกรคนนี้นี่แหละที่จะมา "สอนให้รวย"

ชีวิตที่ขาดพ่อ ปากกัดตีนถีบอยู่กับแม่เพียง 2 คน ต้องทำทุกอย่างตั้งแต่กรรมกร ขายน้ำ ยันขัดส้วม



"บ้านเป๊กเรียกว่าอยู่ชนบทอยู่บ้านนอกเลยอยู่บนเขา เป๊กกับคุณแม่ก็จะเข้าป่าไปเก็บหน่อไม้มาขาย แม่จะเป็นเสาหลักของครอบครัว ทั้งทำงานแม่บ้าน กรรมกรก่อสร้าง พอว่างจากงานก่อสร้างก็จะเข้าป่าไปเก็บหน่อไม้ แม่เป็นคนที่สู้ชีวิตมากๆ หาเงินทุกอย่าง เราอยู่กันสองคนแม่ลูกเพราะพี่ชายและคุณพ่อเสียตั้งแต่เป๊กยังเด็กๆ"

"คุณแม่จะทำงานที่กรุงเทพฯ และก็จะกลับมาที่บ้านต่างจังหวัดเป็นพักๆ ส่วนเป๊กจะอยู่บ้านกับคุณยายแล้วก็จะมีคุณป้าคอยมาดูแล พอปิดเทอมเป๊กก็จะไปหาคุณแม่ที่กรุงเทพฯ ไปช่วยแม่ทำงาน แม่ทำงานแม่บ้านเราก็ไปเป็นแม่บ้าน ไปขัดส้วมเราก็ไปขัดส้วม แม่ทำงานก่อสร้างเราก็ไปช่วยแม่ทำงานก่อสร้าง ไปอยู่บ้านพักคนงานที่กั้นๆ เป็นไม้อัด เราเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดว่ามันจะอันตราย แต่พอเราโตแล้วมองกลับไปถึงมาคิดได้ว่า มันก็อันตรายเหมือนกันนะ ไม่ได้สงสารตัวเองนะ สงสารแม่ที่จะทำงานหนักสิ่งที่เราได้ช่วยเขาถือเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมาก"

"บางทีก็ไปรับจ้างแม่ค้าขายน้ำในมหาวิทยาลัยที่แม่เป็นแม่บ้าน ทำทุกอย่างให้ได้เงินเพื่อที่จะช่วยเหลือแม่และหารายได้เพื่อใช้ในการเรียนหนังสือ พอกลับมาอยู่บ้านก็จะเข้าป่าไปเก็บหน่อไม้มาขาย เดินขึ้นเขาไปเป็น 10 กิโลแล้วก็หาบลงมาต้มขาย"



มรสุมรุมเร้า เป็นหนี้หลายแสน บากหน้ายืมใครทุกคนต่างเบือนหน้าหนี "น้ำตาแม่" คือแรงผลักดันชีวิต
"ชีวิตเราผ่านมาหมดแล้ว เป็นหนี้เป็นสิน ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ต้องไปยืมเขา พอไปยืมก็ทบต้นทบดอกจากต้น 20,000 ก็กลายเป็นแสน ที่ดินก็เอาไปเข้าธกส. ยืมจนไม่มีใครให้ยืม เราเห็นแม่ร้องไห้บ่อยๆ ได้แต่บอกตัวเองว่า ซักวันเราจะทำให้เขาสบาย เขาจะไม่ต้องมานั่งร้องไห้แบบนี้ ไม่ต้องมีใครมาดูถูก นี่คือสิ่งที่เป๊กคิดในใจแต่ไม่เคยแสดงออก"

"พอจบม.6 เป๊กก็มาเรียนที่ราชภัฎพิษณุโลก หนูก็ต้องประหยัด แม่ให้อาทิตย์ละ 700 กินอยู่ทั้งหมด ก็คือวันละ 100 ก็เคยเอาของไปขายตามตลาดกลางคืน เสื้อผ้าก็มารับที่กรุงเทพฯ ถามว่าใช้เงินวันละ 100 พอมั้ย มันไม่พอก็ต้องพอค่ะ เพราะแม่มีให้แค่นั้น แต่ก็กินครบทุกมื้อนะคะ แต่ก็ต้องประหยัด กินข้าวกล่องละ 20-25 ก็ไม่สามารถเอาไปซื้อของจุกจิกได้ อย่างเพื่อนๆ เขาก็ยังไปซื้อนั่นนี่ได้ เราก็อยากมีนะ แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร เอาเท่าที่มีก็พอ ก็ตั้งใจเรียนไปให้มันจบ เรียนมาก็เกรดกลางๆ 2.8 เอกอุตสาหกรรมท่องเที่ยว-การโรงแรมค่ะ ชอบการเที่ยว ชอบเดินทางค่ะ อยากเป็นไกด์"

"จบมาก็ไม่ได้เป็นไกด์หรอกค่ะ ก็มาสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่งก็ได้ทำงานแล้ว แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องรับปริญญาด้วย แล้วเป๊กเพิ่งทำงานได้ 7 วัน เป็นช่วงเทรนงานด้วย ทุกวันนี้ก็เลยยังไม่มีรูปถ่ายรับปริญญาเลย แม่ก็คงอยากจะได้ถ่ายรูปกับเป๊กวันนั้น แต่ตอนนี้ก็คิดว่ารอเอาไว้ถ่ายตอนรับปริญญาโทเลยแล้วกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่เป๊กยังคาใจนะเพราะก็อยากทำให้แม่"



เงินก้อนแรก งานชิ้นแรก และของขวัญชิ้นแรกที่ทำให้แม่ร้องไห้
"พอได้งานก็มาบอกแม่ว่าได้งานแล้ว แม่ก็ดีใจ เพราะพอจบปุ๊บก็ได้งานเลย เงินเดือนๆ แรกก็แบ่งให้เขา เขาก็ดีใจ แล้วหลังจากนั้นก็ให้แม่ทุกเดือนค่ะ ตอนที่ให้แม่ก้อนแรกแม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเยอะ แต่เราก็รู้ว่าเขาดีใจแหละ เขาจะไปพูดกับเพื่อนๆ บ้านมากกว่า แต่ปกติเราไม่ค่อยได้แสดงออกความรักกันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าอย่างวันพิเศษอย่างวันแม่ เป๊กก็จะเข้าไปกอด ไปหอม ก็เล่นกันแม่ลูก"

"แล้วพอเราเริ่มมีเงิน เริ่มซื้อรถให้เขา พอถึงวันแม่เราก็เริ่มเข้าไปคุยกับเขามากขึ้น ไปกอด ไปหอมบ่อยๆ แต่ก่อนก็ไม่เคยทำ อายที่พูด อายที่จะทำ มันเหมือนเป็นสิ่งที่คนบ้านนอกเขาไม่ค่อยทำกัน แต่เป๊กก็มาคิดว่าถ้าไม่ทำตอนนี้จะไปทำตอนไหน เพราะเราก็เหลือกันสองคน พอเริ่มมีเงินก็ให้แม่ตลอดค่ะ ซื้อบ้าน ซื้อรถให้ ให้เงินแม่ทุกเดือน เดือนละ 15,000-20,000 บาท ตอนนี้เขาก็น่าจะมีเงินเก็บแหละ แต่ยอมรับว่าแรกๆ ก็เขินนะที่ทำอย่างนี้ แม่ก็เขิน สักพักก็ร้องไห้"





เมื่องานประจำไม่ตอบโจทย์ "ฉันต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง" กำเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิตแม่ลุยธุรกิจของตัวเอง บุกเบิกขายของออนไลน์
"พอทำงานที่ทรูได้ปีกว่าๆ เป๊กก็ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เปิดเป็นร้านโทรศัพท์ก่อน พอดีแม่มีเงินเก็บอยู่จากการขายที่ได้ ประมาณ 50,000 บาท ตอนนั้นก็ไม่ได้เอ่ยปากขอแม่นะ แต่ก็บอกแม่ไปว่าการเป็นพนักงานประจำมันไม่ตอบโจทย์เรา แล้วเราก็เป็นคนที่ทะเยอทะยาน อยากโต อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเราเป็นพนักงานบริษัทต่อไปมันก็อยู่แค่นั้น แล้วเราเป็นคนใช้เงินเก่ง แล้วต้องแบ่งให้แม่ด้วย ก็เลยขอเขาก้อนนึง ขอไปลงทุน เขาก็ไม่ได้อิดออดอะไรเลย แม่ก็ให้เงินมา ตอนแรกก็เปิดร้านขายโทรศัพท์"

"ตอนที่ได้เงินแม่ก้อนนั้นมา ซึ่งเป็นก้อนสุดท้ายของแม่ด้วย ก็ตั้งใจกับตัวเองเลยว่าต้องมาต่อยอดให้ได้ เพราะเป๊กเป็นคนมั่นใจในตัวเองอยู่แล้วด้วยว่าต้องทำได้ ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ล้มเลิก แล้วพอเปิดร้านโทรศัพท์ก็เอาของมาลงแทบหมดทุนเลย แล้วจากนั้นก็เริ่มเล่นเฟซบุ๊กด้วย ก็เริ่มเอาของมาขายในเฟส เพราะเราเห็นคนขายก่อน และตอนนั้นเป็นช่วงที่คนขายของออนไลน์ยังไม่เยอะ"

"แล้วเราเป็นคนรักสวยรักงามอยู่แล้วด้วย ก็ลองเอาครีมตัวหนึ่งมาขาย แล้วเราเป็นคนชอบนำเสนอ ชอบรีวิว ชอบพูด ก็แนะนำลูกค้าไปเรื่อยๆ แล้วลูกค้าโทรศัพท์เราก็ตามเฟสเราอยู่แล้ว พอเรามีครีมมาลง เขาก็เป็นลูกค้าครีมเราด้วย ก็ค่อยๆ สะสมลูกค้ามาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มมีตัวแทนเยอะขึ้น ก็มีการบอกต่อๆ กัน ทีนี้พอเริ่มใหญ่ขึ้น สินค้าที่ตอนแรกเป๊กเอามาตัวเดียวก็เริ่มมีตัวที่ 2-3 ก็มีสินค้าหลากหลายนะคะ มีแป้ง มียาลดความอ้วน แต่เรื่อง อย. ตอนนั้นเรายังไม่มีความรู้นะคะ เราก็แค่รับมาขาย เพราะเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วเรื่อง อย. มันยังไม่มีผลกระทบกับการขายของเหมือนตอนนี้ เป๊กก็สั่งของมาลองเรื่อยๆ จนมาเริ่มรู้สึกว่าขายครีมได้รายได้ดีกว่าขายโทรศัพท์"





สร้างแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเอง ชีวิตพลิกรวยสุดขีด
"เริ่มขายครีมได้เกือบปีก็มีเงินเก็บหลักแสนค่ะ แฟนก็แนะนำว่าทำไมเราไม่ทำแบรนด์ตัวเอง แต่ตอนนั้นเป๊กก็ไม่เคยคิดขนาดนั้นเลย คิดว่ามันยาก แล้วเราก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ไม่รู้เรื่องโรงงาน เรื่องกล่องอะไรต่างๆ ไม่รู้จะไปหาที่ไหน มันดูยากไปหมด"

"แล้วพอแฟนพูดว่าทำไมเราไม่ทำแบรนด์ของตัวเอง เป๊กก็เลยเริ่มหาข้อมูล เซิร์จหากูเกิ้ลด้วยตัวเอง ทุกอย่างทำเองตลอด เป๊กพูดได้เลยว่าเป๊กโตได้ทุกวันนี้ไม่เคยใช้ขาใครเดิน ทำเอง หาเองทุกอย่าง และสิ่งที่เป๊กเชื่อว่าเป๊กโตมาได้ทุกวันนี้เพราะเป๊กซื่อสัตย์ต่อลูกค้า เป๊กไม่เคยเอาเปรียบเขา และสินค้าที่เราเอามาขายก็เป็นสินค้าที่เราใช้เอง พอเราใช้แล้วมันดีเราก็เอามาเสนอต่อ อยากให้คนได้ใช้ของดีๆ ไม่ใช่คิดแต่จะเอาเปรียบ เพราะถ้าเป๊กไม่ซื่อสัตย์ เป๊กเอาเปรียบลูกค้า เป๊กคงอยู่ไม่ได้มาขนาดนี้หรอก"


จากงบ 3 หมื่น ยอดขายสินค้าพุ่งทะยานจากหลักพันเป็นหลักหมื่นชิ้น
"ก็เริ่มลงทุนทำแบรนด์ของตัวเอง ด้วยงบ 30,000 บาท เริ่มจากการขายกลูต้าก่อน เพราะตอนนั้นกลูต้ามาแรง เราก็ลองดู แล้วผลตอบรับดี แต่ตอนที่ทำแบรนด์ออกมาไม่เคยบอกใครว่าเป็นของเรานะคะ เพราะกลัวว่ามันจะแป๊ก กลัวจะขายไม่ได้ ก็แอบๆ ขายไป ไม่ต้องรู้ว่าเป็นของเป๊ก ถ้าเจ๊งก็จะได้ไม่ต้องอายว่าทำของตัวเองออกมาแล้วไม่รอด"

"ก็ไม่ได้บอกใครจนสินค้าเริ่มขายดี ล็อตแรก 1,000 เดียว ล็อตที่สองเริ่มเป็น 3,000-5,000 ชิ้น จนเริ่มสั่งผลิตเป็นหมื่นชิ้น จนเริ่มคิดว่าไม่พอแล้วล่ะ คนเริ่มถามหาสินค้ามากขึ้นว่าใครเป็นเจ้าของแบรนด์ แล้วเราไม่ได้ใช้ดาราเลย แต่ขายแบบปากต่อปาก แล้วพอเริ่มมีสินค้าตัวอื่นที่เริ่มมาแรง ลูกค้าเราเริ่มหาย เราก็เริ่มมาคิดหาทางตลาดใหม่ เพราะแบรนด์อื่นเขาขายของแบบแอ็กทีฟ มีอะไรว้าวๆ มาให้ลูกค้าตื่นเต้น แต่ของเราไม่มี มีแค่รูป มีแค่รีวิว ลูกค้าก็ไม่ตื่นเต้น เราก็ต้องหาอะไรให้ลูกค้าเราตื่นเต้นบ้าง ก็เหมือนการตลาดนั่นแหละ จัดมีตติ้งบ้าง จัดปาร์ตี้บ้าง จัดสัมมนาบ้าง"



เผชิญหน้าวิกฤตเครื่องสำอางขาลง เจอคู่แข่งดึงดารามาเป็น "บอส" ลูกค้า-ตัวแทนแห่เท ยอดขายที่เคยอู้ฟู้หลักหมื่นหดเหลือแค่ 200 ชิ้น!
"แต่ 2 ปีแรกที่ทำเป๊กไม่ต้องทำการตลาดอะไรเลย รับอย่างเดียว ได้บ้าน ได้รถให้แม่ ให้ตัวเอง พอ 2 ปีให้หลังเป๊กท้อง เราก็เริ่มถอยลงเพราะทำอะไรไม่ได้มาก สภาพร่างพังมาก ออกงานไม่ได้เลย ก็ได้แต่โพสต์สินค้า โพสต์รีวิว แล้วพอแบรนด์อื่นเขามีบอส มีอีเวนต์อะไรต่างๆ ลูกค้าก็ว้าว ตัวแทนตัวใหญ่ของเป๊กก็เทไปหมดเลย แล้วพาตัวแทนไปหลายร้อย เป็นพันไปหมดเลย จากที่โพสต์ของเรากลายเป็นไปโพสต์แบรนด์ใหญ่ๆ กันหมด สินค้าเราก็ดร็อปลง จากยอดขายสั่งทีเป็นหมื่น กลายเป็นว่าตัวแทนมาสั่งกันทีละ 200, 500 แต่ก็ไม่ใช่ว่าสินค้าเราดร็อปหายไปเลยนะคะ เพราะสินค้าเป๊กไม่เคยขาย แต่มันอยู่ในช่วงลง มันยังมีคนใช้อยู่ ลูกค้ายังสั่งตลอด เพียงแต่เขาไม่โพสต์ขาย แต่เขายังสั่งอยู่ แต่ก็ทำให้ลูกค้าเราลดเพราะว่าเขาไม่โพสต์"


เจ้าอื่นตายเรียบ แต่แบรนด์เป๊กกี้ไม่ยอมตาย
"แต่ถึงสินค้าจะดร็อปลงเป๊กก็ไม่เคยลดคุณภาพสินค้านะคะ เพราะเป๊กรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่สินค้าอยู่ในช่วงที่ใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ เขามีสิทธิที่จะไปที่อื่น แต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกว่าเขาต้องใช้สินค้าตัวนี้ ขาดไม่ได้ เขาก็จะไม่ไปจากเรา เป๊กถึงไม่ลดคุณภาพสินค้า เป๊กเคยเจอลูกค้าที่ไปลองสินค้าตัวอื่นแล้วมันไม่ตรงกับที่เขาต้องการเยอะนะ เขาก็กลับมาหาเรา"

"พอมาถึงปลายปีที่แล้วแบรนด์ที่เป็นกระแสมันดร็อปลงหมด เราก็เลยคิดว่าแบรนด์เราคงต้องกลับมาทวงคืนแล้วล่ะ ก็พอคลอดน้องอะไรเรียบร้อย หุ่นก็ยังไม่เข้าที่ใช่ไหมคะ ก็มีพี่คนนึงมาเสนอว่าลองมาทำยาลดน้ำหนักกันไหม หุ้นกัน เป๊กก็ลองไปทำตัวนั้นอยู่พักนึง ตอนนั้นมีหลายหุ้นด้วยค่ะ 3-4 หุ้น แล้วเวลาคิดโปรเจกต์มันก็ต้องถามหลายๆ คน กว่าจะได้ทำต่อมันก็ไม่เหมือนของเรา พอเราจะทำอาหารเสริมทุกคนก็กลัว ก็เลยคิดว่ากลับมาทำแบรนด์เราดีกว่า เพราะยังไงก็เป็นของเราคนเดียว กำไรก็ไม่ต้องหารคนอื่น"

"ก็เริ่มจากการเปลี่ยนแพ็กเก็จก่อน เปลี่ยนสีให้คุมโทน เรียบๆ แล้วก็เริ่มโปรโมตด้วยการใช้ตัวเองนี่แหละ ออกงาน ออกสื่ออะไรต่างๆ จัดการประกวด สร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์มีจัดงานมาเรื่อยๆ ค่ะ"


เปิดหมดไม่กั๊ก หลักการสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ
"หนึ่งคือเป๊กไม่ได้มองแค่ว่าฉันจะต้องโกยเยอะๆ เป๊กมองเลยว่าการตลาดโดยใช้กระแสมันใช้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้คนเริ่มออกจากแบรนด์ใหญ่แล้วเริ่มมองหาแบรนด์ที่มั่นคง เราก็กลับมาคิดว่าเราจะสร้างแบรนด์ยังไงให้คนเชื่อถือ ให้คนเข้ามาโดยที่มั่นใจว่าแบรนด์เราดีมีคุณภาพ ภาพที่สื่อออกไปก็จะให้เห็นว่าแบรนด์เราอยู่มายาวนาน 5-6 ปี มันก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อมากขึ้น"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook