Be Magazine : พฤศจิกายน 2555

Be Magazine : พฤศจิกายน 2555

Be Magazine : พฤศจิกายน 2555
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

My Long-Term Goal
ความหมายและความสำเร็จของลูกผู้ชาย
โดม-ปกรณ์ ลัม

การสนทนาผ่านสายตาสยบความคิด ผ่านประสบการณ์ที่เคยถูกสัมภาษณ์หลายหน ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน และอีกหลายข้อมูล ที่ทุกคนในประเทศใคร่รู้ แต่เขาใคร่ตอบหรือไม่ นั่นคือสิทธิของเขา สิทธิของการแสดงออกเพื่อพึงตระหนักตนว่า ตัวเขายังเป็นคนปกติธรรมดา ดำรงชีวิตเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่งในสังคม เพื่อทดสอบความหมายของการเป็น โดม-ปกรณ์ ลัม ที่ผ่านบทพิสูจน์มาทั้งชีวิต ความสำเร็จของเขาอยู่ตรงจุดไหน หรือเขาได้ก้าวข้ามผ่านความสำเร็จนั้นแล้ว และสิ่งที่เขาทำอยู่คือการต่อยอดความสำเร็จให้มั่นคงต่อไปหรือไม่ ทว่าสำหรับเขาวันนี้ ทุกอย่างถูกผสมกลายเป็นจุดเริ่มต้นในจังหวะที่สองของชีวิต


โดม ปกรณ์ ลัม


ความสำเร็จของลูกผู้ชาย?

ความสำเร็จไม่มีมาตรวัดที่เป็นสากล สากลที่วัดกันจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของตัวเงิน ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือว่าชื่อเสียงใช่ไหมครับ แต่จริงๆ แล้วความสำเร็จก็คือการที่เราไปถึงจุดหมาย หรือโกลของบุคคลนั้นๆ ที่วางเอาไว้ บางคนอยากสร้างบ้านสักหลังในจังหวัดที่ตัวเองต้องการ นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จ หรือบางคนฝันอยากจะเป็นนายพล โกลมันไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นความสำเร็จของผู้ชายคนหนึ่ง คือการที่ผู้ชายคนนั้นได้ก้าวเข้าไปแตะในจุดที่เขาวาดฝันเอาไว้ในจุดที่แตกต่างกันออกไป ผมคิดว่าอย่างนั้น เพราะสำหรับผม เงินทองไม่ใช่ ชื่อเสียงเกียรติยศไม่น่าจะใช่ ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่คนนิยมมักจะตั้งโกลด้วยเรื่องแบบนี้

โดมถึงโกลนั้นแล้วหรือยัง?

ยังครับ คือผมคิดว่าชีวิตของคนมันน่าจะแบ่งได้เป็นสักสามช่วง ช่วงแรกก็คือ ช่วงปฐมฤกษ์ หรือช่วงเริ่มต้น ผมผ่านช่วงนี้มาแล้ว ตอนนี้ผมถือว่าผมซัคเซสในโกลที่ผมวางเอาไว้ในช่วงอินโทรดักชั่นของผมครับ ช่วงนี้มันเข้าสู่ช่วงเนื้อหาความจริงของชีวิต มันเป็นก้าวที่สองของผม ช่วงที่สามก็คงเป็นช่วงที่หลังอายุ 55 ไปแล้ว ถึงช่วงบั้นปลายชีวิต ผมมองว่าผมอยู่ในจังหวะที่สองของชีวิตอยู่ แต่ถ้าถามว่าผมซัคเซสในสิ่งที่ผมวางไว้ในช่วงแรกไหม ผมคิดว่าผมถึงเป้าครับ

แต่หลายคนมองว่า โดม-ปกรณ์ ลัม มีชื่อเสียง นั่นคือความสำเร็จแล้ว?

ผมอยากทำในสิ่งที่ผมรัก นี่คือประเด็นเลย ถ้าเกิดผมเลือกในเรื่องของชื่อเสียง หรือเงินทอง ผมทำอะไรได้เยอะกว่านี้ แล้วดังกว่านี้ได้อีก บางคนอาจจะมองว่าผมดังแล้ว แต่ว่าผมคิดว่า ผมดังได้กว่านี้ถ้าผมจะทำ ถ้าผมเลือกจะทำอะไรที่มันคิดน้อยๆ แล้วทำเยอะๆ แต่ผมไม่ทำ เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมรัก ไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าผมจะทำสิ่งนี้ ผมลงทุนกับสิ่งที่บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ ผมก็เดินตามความฝันของผม

แสดงว่าคุณมีฝันตลอดเวลา?

ใช่ครับ ผมมีฝันตั้งแต่เด็ก ฝันแรกเลยคือผมอยากมีค่ายเพลงของตัวเอง ตั้งแต่ผมอายุประมาณ 17 ผมออกอัลบั้มแรก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมต้องหยุดเรียนหนังสือ ไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อนที่ผมมีในช่วงนั้นก็เป็นโปรดิวเซอร์เท่านั้น ที่สนิทสนมกันที่สุดเพราะว่าเราต้องคลุกคลีกันบ่อย ก็เลยเริ่ม แอบดู แอบจำ ถ้าไม่ได้พี่ๆ โปรดิวเซอร์ก็ไม่รู้จะมีใคร เพราะเพื่อนคนอื่นเขาไปเที่ยวเล่นอะไรแบบที่เขาเป็น โดมก็เริ่มศึกษาแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย! สิ่งที่เขาทำนี่มันเท่มาก มันเป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งเราชอบ มันคลิกกับเรา จากจุดตรงนั้นเอง ก็เริ่มผันตัวเองจากการเป็นนักร้องเด็กๆ มาเป็นโปรดิวเซอร์

โดม ปกรณ์ ลัม

เป็นการมองข้ามสเต็ปของการเป็นนักร้อง ?

คือผมโชคดีกว่าเด็กคนอื่นที่ได้โอกาส ผมเชื่อว่ามีคนอื่นน่าจะได้โอกาสมากกว่าผมนะ แต่ว่าทำไมผมถึงได้โอกาสนั้นมา อาจจะเป็นข้างบนก็ได้ที่เขากำหนดมา ซึ่งพอผมได้มันมาแล้ว มันทำให้ผมรู้จักสิ่งที่ผมรักได้รวดเร็วขึ้น แทนที่ผมจะต้องไปสมัครฝ่าฝันเวทีเหมือนน้องๆ สมัยนี้ สมัยนั้นผมถูกหยิบเลือกขึ้นมา โดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้อะไรเลย ยังเป็นเด็กตาใสๆ ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ออกมาก็ร้องเพลง ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยว่าชอบ ไม่ชอบ รัก ไม่รัก แต่ว่าท้ายที่สุดมันเริ่มย้อนกลับมาให้เห็นว่า เราชอบสิ่งนี้จริงๆ มันไม่ได้ชอบแค่ฉาบฉวยว่าฉันออกไปร้องเพลง ฉันชอบที่คนมากรี๊ดฉัน ชอบที่ฉันได้เงินเยอะ จะซื้ออะไรก็ได้ ไม่ใช่ มันกลายเป็นว่า เรารักและหลงใหลในวิธีการ ในการเป็นศิลปินคนหนึ่ง

โชคดีที่มันย้อนไปในด้านนั้น ถ้ามันไปในด้านฉาบฉวยไปในด้านว่า โห...มันเท่ มันดัง ผมว่าผมจบไปแล้ว ผมว่าไม่น่าจะอยู่มาได้จนถึงวันนี้ จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ประมาณ 20 ปีแล้ว ผมดันโชคดีที่ดันย้อนกลับมายืนอยู่ในจุดของคนเบื้องหลัง ชอบการโปรดิวซ์เพลง เขียนเพลง แต่งเพลง บันทึกเสียง ทำมาตั้งแต่เด็กมากอายุยังไม่ถึง 20 ปี สื่อก็น้อย แต่เราโชคดีที่เราได้อยู่กับโปรเฟสชั่นแนลระดับประเทศ และโปรดิวเซอร์ที่เขาทำเพลงขายกันเป็นล้านๆ ก๊อปปี้ ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน ทำให้ผมเหมือนกับจับเส้นทางฝันของผมถูก แล้วก็ตามมาได้อย่างรวดเร็ว

ทำไมถึงให้ความสำคัญกับงานเบื้องหลัง ทั้งที่อาจสร้างชื่อเสียงช้ากว่า?

ผมแค่รู้สึกว่าอยากทำเป็น เพื่อที่จะทำผลงานของตัวเองได้ ตอบโจทย์เราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนเราอยากเอาสิ่งที่คิดอยู่ข้างในถ่ายทอดออกมา บางทีคำพูดมันไม่สามารถทำให้โปรดิวเซอร์เข้าใจเสียงที่มันได้ยินอยู่ในหัวของเราได้ ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย ต้องทำเอง ผมต้องหัดทำ ต้องรู้ ตีสองตีสามไปบ้านพี่เขา ไปตื้อให้เขาสอน วันเกิดเด็กคนอื่นซื้อนู่นนี่ แต่เราขอแม่ซื้อเครื่อง พวกแบบ music equipment แม่ก็ไม่เข้าใจก็นึกว่าซื้อของให้เด็กธรรมดา ก็ไม่นึกว่าวันหนึ่งจะมาเป็นอาชีพของเราได้ พอเราทำเบื้องหลังได้ แล้วก็มาทำเบื้องหน้า มันเหมือนกับเป็นการทำงานสองด้านที่มันเห็นผลทันทีว่า ไหนสิ่งที่คุณทำไป พอออกมาแล้วมันสำเร็จไหม ตอนนั้นจุดที่มันยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่คือ อัลบั้มแรกที่ผมโปรดิวซ์ คืออัลบั้ม Naked

โห...ตอนนั้นปี 2540 ต้นๆ ผมได้รางวัลสีสันอวอร์ดจากอัลบั้มนี้ ซึ่งผมภูมิใจมาก และรักกับรางวัลนี้มาก และมันเป็นรางวัลเดียวในประเทศไทยที่มันสามารถปรู๊ฟได้ว่ามันเป็นรางวัลจริงๆ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจดูที่เรียน เดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ไปซานฟรานซิสโก ไปเรียนซาวด์เอ็นจิเนีย ตัดสินใจเองหมด แม่ก็ถามว่าเรียนแล้วกลับมาจะทำอะไร เสียเงินตั้งเยอะ ทำไมไม่เรียนที่นี่ สมัยนั้นไม่มี มหิดลก็ยังไม่มี ไม่มีอะไรเฉพาะทางเหมือนตอนนี้เลย ถ้าไม่สนใจจริงๆ ก็คงไม่ทำ หลังจากไปเรียนกลับมา ก็ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ที่แกรมมี่ให้มาทำงาน มันก็เป็นช่วงรอยต่ออีกช่วงหนึ่ง ผมได้เจอกับพี่ป้อม อัสนี ได้ทำงานกับ Legend คนหนึ่งซึ่งยังแบบเดินได้ ร้องเพลงได้ ผมได้เรียนรู้วิธีคิด ได้เรียนรู้ความพิถีพิถันในการทำงาน ก็รู้สึกว่าสักวันเราต้องมีค่ายเพลงของเราเอง เล็กใหญ่ไม่สำคัญ

เพราะอะไรทำไมถึงมั่นคงกับความคิดนี้?

ตัวเองได้อะไรกับตรงนี้มาเยอะ โดยเฉพาะวงการเพลงนะครับ โดมดูเหมือนเป็นดารา หรืออะไรในช่วงหลังนะ เพราะครึ่งชีวิตแรกร้องเพลงอย่างเดียว ละครหนังไม่เคยเล่น แล้วเราได้จากตรงนั้นมาเยอะมาก การที่เราได้เป็นที่รู้จักของคนวงกว้างในประเทศนี้ก็เพราะเราเป็นนักร้อง ตั้งแต่เพลงแรกที่เราร้อง เพลงยิ่งรักเธอ เพลงสมมติ ตั้งแต่เด็กๆ สมัยนั้น มันมีคุณค่ามาก มันให้ชีวิตผม มันให้เงินทอง ให้ทุกอย่าง ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องให้คืน แต่จะให้คืนด้วยวิธีไหน เราไปคืนยังไง คืนได้โดยการทำงานดีๆ กลับคืนเขาไป เราก็เลยรู้สึกว่าจะต้องทำค่ายเพลงสักค่ายหนึ่งที่มีศิลปิน มีมาตรฐานในการผลิตที่ดี ก็เลยตั้งใจอยากจะทำค่ายเพลง

หลังจากนั้นก็เลยออกจากแกรมมี่ ออกโดยทุกคนก็งง ออกทำไม เพราะตัวเองคิดในใจไว้แล้วว่ามันต้องทำวันนี้ ตอนนั้นผมอายุ 27 มันคงจะไม่สำเร็จสักที ถ้า 30 ยังไม่เริ่ม แรงมันจะน้อยลง เพราะฉะนั้นต้องทำตั้งแต่ตอนนั้น ก็เริ่มมาแบบมึนตึ้บเลย ทำไม่ถูกเอาไงดี ไม่รู้จะไปยังไง หลังก็ถอยไม่ได้ งงไปหมด ตั้งหลักอยู่นานมาก จนท้ายที่สุดก็ได้มีค่ายเพลงไอคอนนิค ตอนนี้ก็มีศิลปินครบ 5 วง กับงานเพลงที่ผมเชื่อว่าเป็นหนึ่งในงานเพลงที่ดีที่สุดในประเทศไทย


โดม ปกรณ์ โดม ปกรณ์


ในฐานะตำแหน่งงานไหนที่โดมคิดว่าทำได้ดีที่สุด?

แน่นอน น่าจะเป็นงานในวงการ กับศิลปิน เพราะมันเป็นชีวิตของผมทั้งชีวิต การร้องเพลง การเป็นดารามืออาชีพ มันเป็นทั้งชีวิตโดม มันเป็นงานที่ผมทำ ถ้าเกิดอยากจะได้งานอะไรแบบนี้ เอามาให้ผมมันคืองานของผม แต่กับการเป็นผู้บริหารค่ายยังใหม่มากอยู่ แต่ผมเชื่อว่ามันน่าจะไปได้ มันต้องมีความเชื่อตรงนี้

คนทั่วไปสนใจเนื้องาน หรือว่าความเป็นศิลปินดารา มากกว่ากัน?

มันคาบเกี่ยวกัน เหมือนว่าเรายืนสองขาอยู่ ถ้าสนใจตัวโดม มันก็สามารถทำให้ไปสนใจเบื้องหลังของผมได้ หรือถ้าเขาสนใจเบื้องหลังของผมก็ดี มันก็ทำให้เขากลับมาสนใจเบื้องหน้าของผมอยู่ดี เพราะผมก็ไม่ได้เป็นคนที่หายไปทำเบื้องหลังอย่างเดียว ผมกำลังบาลานซ์ชีวิต แล้วผมก็ไม่แคร์ด้วยว่าใครจะมองผมในมุมไหน ผมไม่แคร์ว่าคุณจะมองว่าผมแค่รูปลักษณ์ภายนอก หรือว่าจะมองที่เพลง อย่างบางคนบอกไม่เคยฟังเพลงผมเลย รู้แต่ว่าผมหน้าตาเป็นแบบนี้ แล้วแต่นะผมไม่ว่า เพราะเราไปห้ามวิธีคิดของคนไม่ได้ ผมไม่สนใจทั้งสิ้น

ถ้าไม่เป็นโดม-ปกรณ์ ลัม?

โห... นึกไม่ออกเลย ภาพนั้นไม่มีเลย ผมเริ่มต้นวงการตั้งแต่ 2 ขวบ จากนั้นก็ไม่ได้หยุดเลยในวงการ

ศิลปินดารา สามารถทำงานช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีการไหนได้บ้าง?

โอ้โห เยอะแยะมากมาย แน่นอนคุณได้เงินมาเร็ว คุณต้องคืนสังคม ตอนนี้ผมทำ Dome Foundation เป็นมูลนิธิที่มุ่งเน้นเรื่องการศึกษา แล้วก็มีกองทุนชื่อว่า กองทุนปกรณ์ลัม ให้ทุนนักศึกษาทั่วประเทศที่เรียนดี โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ นี่คือสิ่งที่ทำได้ เมื่อไหร่ที่คุณไม่รู้จักให้ สังคมก็ไม่ให้คุณ ถ้าคุณคิดจะช่วยช่องทางมันมีทุกอย่าง เอาของไปโยนใส่รถกระบะวันนี้ขับออกไปช่วยได้เลย ถ้าคุณจะทำ

โดมเป็นห่วงเรื่องอะไรในสังคม?

การศึกษาเลยครับ เพราะมันเป็นรากฐานของทุกอย่าง มันเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคน ความรู้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นภูมิต้านทาน อย่างน้อยให้ทุกคนจบระดับปริญญาตรีก็ยังดี ให้การเรียนอนุปริญญาเป็นมาตราฐานเหมือนฝรั่ง ถ้าคุณไม่ได้เรียน University คุณก็ต้องจบ college ผมก็อยากให้เมืองไทยเป็นแบบนั้น อย่างน้อยการที่เขาได้ศึกษาในสถาบัน ก็เท่ากับการที่เขา จะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมด้วย

โดม ปกรณ์โดม ปกรณ์

การให้มันมีคุณค่ากับโดมยังไง?

ผมลูกคนเดียว สิ่งที่จะทำให้ผมมีความสุขได้คือ เห็นเพื่อนหรือเห็นคนรอบข้างมีความสุข อันนี้คือวิธีคิดตั้งแต่เด็ก แม่ให้ผมทุกอย่าง ของเล่นไม่เคยต้องแบ่งใคร เป็นอย่างนั้นมาตลอด ด้วยความที่ผมกลัวว่าจะไม่มีใครเล่นด้วย ก็เลยรู้สึกว่าเราเอ็นจอยกับการที่ได้แบ่งปันของเล่น ได้เห็นคนอื่นยิ้มกับการให้ของเรา ผมรู้สึกอย่างนั้น

เงินสำคัญกับการให้ไหม?

จริงๆ ไม่นะ คุณให้อะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งที่คุณมี คุณมีแรงคุณก็ให้แรง คุณมีสตางค์ คุณก็ให้สตางค์ บ้านคุณทำโรงงานผลิตน้ำ เขาขาดแคลนน้ำ คุณก็ให้น้ำก็ได้ สิ่งที่คุณมี แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อเขา

ทำไมโดมอยากเปิดช่องทางการศึกษาให้สังคม?

อยากให้มันมีมากขึ้น ผมพยายามไม่คิดอะไรที่มันยากเกินไป ถ้าเขาไม่มีเงินเรียน เราก็ให้เงินเขาเรียน คือกำลังอย่างเรา เราคงยากที่เราจะไปเปลี่ยนวิธีคิดทางสังคม แต่อย่างน้อยในขณะที่ผมไปให้เงินเขา หรืออีกมุมหนึ่งผมก็เป็นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์บางอย่างที่จะหย่อนไปในความคิดเขา ด้วยเนื้องานของโดมเอง ศิลปิน ความเป็นนักร้อง ดารา เหมือน Input อะไรบางอย่าง ให้เขาได้เห็นว่า เอ้ย ชีวิตมันต้องอย่างนี้ เราต้องเรียน การศึกษาสำคัญ ที่เหลือให้เข้าไปเพาะพันธุ์เติบโตในสมองของเขาเองอีกที ผมก็จะพยายามสอดแทรกเรื่องแบบนี้อยู่ในเนื้องานตลอด

โดมเชื่อในเรื่องอะไร?

ผมพยายามเชื่อทุกเรื่องเลยนะ ด้วยความที่เป็นคนเปิดโอกาสให้กับทุกคน ทุกความคิด และทุกเหตุผล ถึงแม้จะเป็นเหตุผลที่ดูไร้สาระ ดูแล้วโคตรบ้าไม่น่าเชื่อ แต่ผมก็ให้เกียรติ และเปิดรับ แล้วก็เชื่อว่า มันก็ต้องมีคนเหล่านี้ ด้วยความที่เราเจออะไรประหลาดมาเยอะในชีวิต เห็นมาเยอะ เดินทางมาเยอะ ก็เลยทำให้รู้สึกว่า เมื่อก่อนคิดว่าแปลกแล้ว ยังเจอแปลกกว่า ผมเลยเป็นคนเปิดโอกาสให้พื้นที่เสมอ ท้ายที่สุดปัญหามันอยู่ที่การปิดกั้นทางความคิดของเรามากกว่า มันไม่มีอะไรที่เรายอมรับไม่ได้ หรือว่าเกิดขึ้นไม่ได้หรอก สำคัญมากเลยนะเรื่องนี้



อะไรคือความสมบูรณ์แบบของโดม?

สำหรับผมนะ คือการทำให้แม่มีความสุข เพราะว่าผมรักแม่ผมมาก แม่ให้ผมทุกอย่าง ใช้แรงกายแรงใจ เสียสละทุกอย่าง ก็คือ สำหรับผมแล้วชีวิตผมมีแค่ผมกับแม่ด้วยนะ บนโลกใบนี้ ญาติไม่มีเลย ก็สิ่งเดียวครับที่ผมเกิดมาบนโลกใบนี้ได้ก็เพราะแม่ แล้วผมก็อยากทำให้แม่มีความสุข ถ้าทำให้แม่มีความสุขได้ นั่นก็คือรูปแบบการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์ ผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่ลูกที่กตัญญูที่สุดแล้ว

ทุกข์ของโดม?

การไม่เคารพความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งหลายครั้งก็เป็น จากภาวะข้างในร้องไห้ ข้างนอกทำยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา มีเยอะ เพราะเราอยู่ตรงนี้ เราอยู่หน้าฉาก เราอยู่ในที่แจ้ง บางครั้งมันก็ฝืนยิ้มไป แต่ว่าจริงๆ แล้วเฮิร์ทมาก แต่เราก็ต้องทำมันเพราะมันเป็นหน้าที่เรา แล้วเราก็ไม่ควรแบ่งปันทุกข์นี้กระจายไปให้ใคร

สุขของโดม?

ทุกวันนี้หายังหาไม่เจอเลยสุขที่แท้จริง แต่ถ้าเอาแบบลึกเข้าไปจริงๆ คงต้องเป็นสุขที่ใจ สุขแบบที่ธรรมะพูดนั่นใช่เลยทุกอย่าง แต่ทุกวันนี้กิเลสมันยังครอบงำเราอยู่ ผมยังอยากประสบความสำเร็จ อยากไขว่คว้าในสิ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องการ ตอนนี้มองภาพไว้ไกล แล้วทุกอย่างที่มองมันกิเลสหมดเลย เรายังดับกิเลสนั้นไม่ได้ แต่ก็ยังพอเห็นทางว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหยุดพวกนี้แล้ว เราคงจะมีความสุข ผมรู้นะว่าสุขอยู่ตรงไหน แต่ยังเลือกที่จะยังสุข 100% แบบธรรมะไม่ได้ เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ

Quote

"เราชอบสิ่งนี้จริงๆ ไม่ได้ชอบแค่ฉาบฉวย ไม่ได้ชอบที่คนมากรี๊ดฉัน ไม่ได้ชอบที่ได้เงินเยอะ จะซื้ออะไรก็ได้ มันไม่ใช่ แต่เป็นเพราะเรารักและหลงใหลในวิธีการของศิลปิน"

"ในเมื่อผมเลือกแล้วว่าผมจะทำสิ่งนี้ ผมลงทุนกับสิ่งที่บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ ผมก็เดินตามความฝันของผม"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook