8 วิธีขจัดกลิ่นปากอย่างได้ผลดีที่คนญี่ปุ่นแนะนำ

8 วิธีขจัดกลิ่นปากอย่างได้ผลดีที่คนญี่ปุ่นแนะนำ

8 วิธีขจัดกลิ่นปากอย่างได้ผลดีที่คนญี่ปุ่นแนะนำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลิ่นปากสร้างความไม่มั่นใจให้แก่เจ้าของกลิ่น แม้ดูแลรักษาปากและฟันดีแต่บางทีก็มีกลิ่นปากแบบไม่รู้ตัว มารู้สาเหตุหลากหลายประการที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก และวิธีการขจัดกลิ่นปากให้ได้ผลดีที่คนญี่ปุ่นแนะนำนะคะ

สาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก
กลิ่นปากนั้นมีสาเหตุหลากหลายประการ ทั้งจากการดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยหัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศ เป็นต้น แต่สาเหตุหลักนั้นมาจากการแปรงฟันไม่สะอาดทำให้เชื้อแบคทีเรียในช่องปากไปย่อยสลายอาหารที่ตกค้างอยู่ในช่องปากและลำคอ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นแล้วก็ส่งผลให้เกิดปัญหาทางช่องปาก เช่น มีฝ้าขาวบนลิ้นและโคนลิ้นด้านใน ฟันผุและโรคเหงือกอักเสบเนื่องจากแผ่นคราบจุลินทรีย์และหินปูนสะสมตามรอยต่อของเหงือกและฟัน หากไม่ได้รับการรักษาโรคเหงือกอักเสบก็จะลุกลามมากขึ้นกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบซึ่งจะมีกลิ่นเหม็นรุนแรงยิ่งขึ้น

สาเหตุสำคัญอีกประการของการเกิดกลิ่นปากคือ ภาวะปากแห้ง น้ำลายน้อย ซึ่งเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ เมื่อมีน้ำลายน้อย เชื้อโรคต่าง ๆ จะตกค้างอยู่ในช่องปากเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์มากขึ้น นอกจากนี้ก็มีสาเหตุจากระบบทางเดินอาหารที่มีแบคทีเรียชนิดไม่ดีในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง และเรอมีกลิ่นเหม็นออกมา อีกทั้งหากมีอาการท้องผูกหลาย ๆ วันก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้

วิธีการขจัดกลิ่นในช่องปาก
วิธีการขจัดกลิ่นในช่องปากอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือรวมกันดังนี้

1. ใช้เบกกิ้งโซดา


วิธีการนี้จะช่วยชะแบคทีเรียภายในปาก ทำได้โดยการละลายเบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชาในน้ำ 1  แก้ว แล้วกลั้วในปากเป็นเวลาประมาณ 30 วินาที


2. ใช้ว่านหางจระเข้


ว่านหางจระเข้นอกจากมีสรรพคุณในการรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกแล้ว ก็มีสรรพคุณในการลดกลิ่นปากด้วยการลดปริมาณแบคทีเรียในช่องปากและช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย วิธีการง่าย ๆ เพียงบ้วนปากด้วยน้ำว่านหางจระเข้วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น


3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ


การดื่มน้ำน้อยจะทำให้การไหลเวียนของน้ำลายน้อย และนำไปสู่การมีกลิ่นปาก ในหนึ่งวันควรดื่มน้ำบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของน้ำลายในช่องปาก


4. ดื่มไวน์แดงวันละ 1 แก้ว


จากการศึกษาพบว่าการดื่มไวน์แดงวันละ 1 แก้วจะช่วยลดการเจริญของแบคทีเรียในช่องปาก ทั้งนี้เพื่อป้องกันสีไวน์ติดฟันก็ควรแปรงฟันหรือบ้วนปากหลังดื่มไวน์


5. รับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร


การเคี้ยวผักหรือผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร เช่น กะหล่ำปลี ผักกาดแก้ว แครอท ขึ้นฉ่าย แอปเปิ้ล และฝรั่ง นอกจากจะสร้างความสดชื่นให้กับมื้ออาหารแล้ว การเคี้ยวผักและผลไม้เหล่านี้จะช่วยชะสิ่งสกปรกในปากและเสริมการหลั่งน้ำลายด้วย


6. รับประทานมะนาวและบ๊วยดอง


มะนาวและบ๊วยดองมีกรดอินทรีย์ที่ช่วยเสริมการหลั่งน้ำลายและเสริมการย่อยสลายของโปรตีนที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในปาก อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้อาหารที่ติดอยู่ในซอกฟันเหม็นเน่าในกรณีที่ไม่ได้แปรงฟันหลังอาหารในทันทีทันใด


7. ดื่มชา


ชาส่วนใหญ่ประกอบด้วยฟลาโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดกลิ่นปากและช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปาก วิธีการที่มีประสิทธิภาพในการช่วยลดกลิ่นปากได้ดีที่สุดคือการดื่มชาหลังมื้ออาหาร


8. รับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำ


หนึ่งในสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากคือการมีแบคทีเรียส่วนเกินในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานที่ผิดปกติ การรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำจะช่วยปรับสภาพแวดล้อมในลำไส้ให้ดีขึ้น อีกทั้งมีงานวิจัยว่าการรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวัน วันละประมาณ 1 ถ้วย จะช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นในปากเช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ได้

หากแปรงฟันและดูแลสุขภาพปากดีแล้วแต่ก็รู้สึกว่ามีกลิ่นปากอยู่ก็ลองเอาวิธีดังกล่าวไปใช้ดูนะคะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook