ลดพุง ลดอ้วน ลดโรค

ลดพุง ลดอ้วน ลดโรค

ลดพุง ลดอ้วน ลดโรค
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอลัมน์ ทอล์คออฟเดอะทาวน์ โดย สง่า ดามาพงษ์

ลดพุง ลดอ้วน...ลดพุง ลดโรค ทำไมต้องรณรงค์เรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ซึ่งนับเป็นปีที่ 5 แล้ว เพราะ "อ้วน" เป็นปัจจัยก่อโรค ซึ่งในประเทศไทยพบว่า ในจำนวนประชากรกว่า 60 ล้านคน มีถึง 17 ล้านคนที่เป็น "โรคอ้วน" และตายปีละกว่า 20,000 คน

เวลาพูดถึงความอ้วน หลายคนมักไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเน้นที่ "พุง" และไม่เข้าใจว่าแบบไหนที่เรียกว่า "อ้วน" ซึ่งในทางการแพทย์ "อ้วน" หมายถึง ภาวะไขมันในร่างกายเกินกว่าเกณฑ์ปกติ และเป็นอันตรายเพราะจะทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ ทั้งนี้ ไขมันในร่างกายมี 3 รูปแบบ คือ
1.ไขมันใต้ผิวหนัง หากมีจะทำให้อ้วนแต่ไม่ถึงกับเป็นอันตราย
2.ไขมันอุดตันในหลอดเลือด หากมีจะทำให้หลอดเลือดตีบ อุดตัน เลือดไม่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต
3.ไขมันเกาะช่องท้องและตับ ซึ่งอันตรายมาก เพราะเป็นกรดไขมันอิสระที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน (อินซูลินมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และหากผู้ใดตกอยู่ในภาวะของโรคนี้จะมีสารพัดโรค เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง ฯลฯ ตามมาทันที ซึ่งปัจจุบันอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรังเหล่านี้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

จะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเข้าข่ายอ้วน?

ในวงการแพทย์สมัยใหม่แนะนำให้ใช้วิธีวัดง่ายๆ คือ เอาส่วนสูง หารสอง จะได้ผลลัพธ์ออกมา หากใครอยากรู้ควรมีสายวัดไว้ประจำบ้าน ทำเองได้ด้วยการ ยืนตัวตรงแล้วนำสายวัดพันรอบเอวบริเวณสะดือให้ขนานกับพื้นแล้วอ่านค่า หากใครก็ตาม... ถ้าเป็นผู้ชายรอบเอวเกิน 90 ซม. ผู้หญิงรอบเอวเกิน 80 ซม. ถือว่ากำลังอ้วนลงพุง วิธีการแบบนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง พร้อมกับชั่งน้ำหนักตัวด้วย

เมื่อรู้ตัวว่าอ้วน ควรทำอย่างไร ไม่ยากครับ! ทำตามหลักการที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พยายามรณรงค์มาแล้ว 4 ปี ด้วยวิธี 3 อ. ได้แก่ อารมณ์ อาหาร และออกกำลังกาย

เชื่อหรือไม่? หากเราเข้มงวดกับ 3 อ. จะพบว่า...เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ธรรมชาติมาก ทำง่ายมาก ประหยัดมาก และให้ผลในระยะยาว โดย

1.อารมณ์ ต้องสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อให้การลดน้ำหนักสำเร็จ เช่น ลดเพราะกลัวตายก่อนพ่อแม่หรือลูก ลดเพราะอยากใส่เสื้อเบอร์ S เป็นต้น และกำหนดเป้าหมายว่า ภายใน 1 เดือน ลด 1-2 กก. และต้องทำให้ได้ด้วยความอดทน อดกลั้น ด้วย 3 ส. คือ สกัด สะกด สะกิด เช่น ข่มใจเรื่องการกินอาหาร ลดแป้ง กินผักผลไม้ อิ่มแล้วต้องหยุด บังคับตัวเองไปออกกำลังกาย

2.อาหาร ควบคุมอาหาร แต่ไม่อดอาหาร กินครบ 3 มื้อ ครบ 5 หมู่ แต่ต้องควบคุมปริมาณ และชนิดของอาหารที่กิน เช่น ลดแป้ง ลดหวาน มัน เค็มจัด เพิ่มผักผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่ไม่มีรสหวาน เน้นอาหารต้ม ย่าง ยำ อบ นึ่ง เลี่ยงผัด ทอด กะทิ หรือหากกินก็อย่าบ่อยและกินน้อยๆ วิธีกินอาหาร 1 มื้อ หากเป็นข้าว 1 จาน ควรกินข้าวกล้อง และแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน และใช้ทฤษฎี 2-1-1 ได้แก่ ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน

3.ออกกำลังกาย หากควบคุมอาหารอย่างเดียว แต่ไม่ออกกำลังกาย จะลดน้ำหนักได้ 9% หากออกกำลังกาย แต่ไม่ควบคุมอาหาร จะลดน้ำหนักได้ 1% แต่หากออกกำลังกายพร้อมกับควบคุมอาหาร จะลดน้ำหนักได้ 90% เพราะการออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าไปเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ใครที่ต้องการลดน้ำหนักควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แต่หากต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็พอ วิธีออกกำลังกายที่ดีที่สุดของคนอ้วน คือ การเดินเร็วจะเดินรอบบ้านหรือสนามกีฬาตามสะดวก หรือจะเดินในน้ำก็ได้

รู้หรือยัง...อ้วนอันตราย ลดได้ง่ายๆ ด้วย 3 อ. แถมสวยหล่อ ดูอ่อนกว่าวัย ไม่เป็นโรค

หน้า 7,มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2556

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook