Power of Tears “พลัง” หลังม่านน้ำตา

Power of Tears “พลัง” หลังม่านน้ำตา

Power of Tears “พลัง” หลังม่านน้ำตา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลายครั้งที่ในชีวิตคนเรารู้สึกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น มันยากเกินจะรับไหว และคอยพร่ำบอกตัวเองแค่เพียงว่า ไม่ไหวแล้ว ซ้ำๆ อยู่หลายๆ รอบจนท้อ ทั้งๆ ที่สองมือ สองเท้า สองตา ทุกอย่างยังอยู่ครบเหมือนเดิม เว้นแค่ว่า อาจมีปัญหาทางด้านจิตใจและความคิด แต่หากคุณลองมองไปที่ผู้คนมากมายในโลก ที่ไม่เหมือนคุณ ไม่มีอะไรเหมือนคุณ และร่างกายไม่ครบถ้วนเหมือนคุณ แต่สามารถอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงนี้ได้ โดยปราศจากคำว่า ไม่ไหว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดคำนี้ขึ้น นั่นคือ จุดจบแห่งชีวิต

คุณสิรินทร์ คำแถลง นักร้องนำในรายการหัวใจยังเต้นของทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ผู้ที่มีสายตาเลือนลาง อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุเมื่อ 4 ปีก่อน การเกิดอุบัติเหตุซ้ำๆ โดยเฉพาะการล้มแล้วหัวกระแทกพื้นอยู่หลายครั้ง ส่งผลให้จอประสาทตาของเธอค่อยๆ เลือนลาง และหลุดออกมา ท้ายสุด การมองของเธอก็ไม่เหมือนเดิม โลกที่เคยสดใส โลกที่เคยมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ค่อยๆ เห็นแสงสว่างน้อยลงๆ เรื่อยๆ และท้ายสุด โลกแห่งความมืดก็มาเยือนเธอตลอดกาล

"ทุกครั้งที่ย้อนกลับไปถึงเรื่องราวเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา มันทำให้เรามีความรู้สึกว่า เราผ่านช่วงนั้นมาได้แล้วนะ ซึ่งตอนนั้น เราทำใจลำบากมาก ไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้คน เก็บตัวมาโดยตลอด เพราะอายผู้คน ตอนนั้นเราได้แต่ร้องไห้ ยังไงก็ทำใจไม่ได้ จากคนตาดี กลายเป็นคนสายตาเลือนลางขีดสุดแบบนี้ เคยทำอะไรด้วยตัวเองได้ทุกอย่าง ก็ทำไม่ได้ อายแม้กระทั่งที่จะใช้ไม้เท้า สำหรับการเดิน"

"แต่แล้ว วันที่เราต้องลุกขึ้นสู้ก็มาถึง เมื่อเราได้ฟังรายการของ อ.มณเฑียร บุญตัน นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ทำให้เราคิดว่า ขนาดคนตาบอดสนิท ยังเลือกสู้ชีวิต ยังทำอะไรได้อีกมากมาย ยังเป็นสว.ได้เลย แล้วเราล่ะ จะมามัวกลัว อายและร้องไห้ อีกนานแค่ไหน เราจะต้องพยายามหาหนทางที่จะพัฒนาตัวเองให้ได้ อีกอย่าง แม่บุญธรรมของเรา ก็เป็นห่วงสุดใจกลัวว่า เราจะดูแลตัวเองไม่ได้ เมื่อเราได้ยินแบบนั้น เรายิ่งสู้ ยิ่งลุกเร็ว เพราะว่าไม่อยากให้แม่เป็นห่วง และอยากให้แม่เห็นว่า เราดูแลตัวเองได้ เราอยู่ได้ ใช้ชีวิตแบบนี้ได้ เราจึงลุกขึ้นมา อีกอย่าง เราบอกตัวเองเสมอว่า หากเราจะแพ้ เราก็แพ้ตัวเอง หากเราจะชนะ เราต้องชนะใจตัวเองให้ได้"

"เราจึงเริ่มเรียนอักษรเบรลล์ เรียนไวโอลิน เผื่ออนาคตจะสามารถประกอบเป็นอาชีพได้ และเรียนคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับคนตาบอด เพื่อใช้ในการสื่อสารต่างๆ เพราะระบบมันซับซ้อนมาก และเป็นระบบเสียง เราสามารถเล่นเฟสบุ๊คได้ อ่านอีเมลได้ แต่ทั้งหมดใช้เสียง ซึ่งเราต้องค่อยๆ เรียนรู้ และอยู่กับสิ่งนี้ให้ได้ จนกระทั่งเราลองส่งการร้องเพลงของเรา ที่เราชอบและอยากทำ มาที่รายการหัวใจยังเต้น ซึ่งเป็นวงดนตรีของผู้พิการ เราก็ได้ พอเราเข้ามาอยู่ในโลกนี้ ทำให้เรารู้เลยว่า ยังมีโลกกว้าง ที่มากกว่าโลกแคบในห้องของเรา เราได้รู้จักคนตาบอดคนอื่นๆ ว่า เขามีชีวิตยังไง มีความสุขในแบบฉบับของเขา ซึ่งคนอื่นๆ ยังเจ๋งกว่าเยอะเลย"

"เราคิดว่า เมื่อเราเคยมองเห็น วันนี้เรามองไม่เห็นบ้าง ก็ได้รสชาติของชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็ต้องเรียนรู้กันไป เรายังมีชีวิตอยู่ ยังหายใจ เรายังไม่ตาย ชีวิตของเราก็ต้องสู้กันต่อไป"

"วันนี้ชีวิตของเราได้กลายเป็นพลังให้กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ เวลาที่พวกเขามีปัญหาชีวิต ก็คิดถึงเราขึ้นมา เพราะเราเองสามารถเป็นกำลังใจให้เพื่อนได้ โดยที่เขามองว่า เรายังอยู่ได้เลย แล้วตัวเขาเองล่ะ ทำไมจะอยู่ไม่ได้ จริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันก็คือ วันนั้น คือ ฝัน เมื่อผ่านมาแล้ว เราก็จะไม่รู้สึกอะไรกับมันมากนัก และมันก็จะผ่านไปได้ ส่วนวันนี้ก็คือ วันนี้ ที่เราต้องอยู่และสู้กันต่อไป"

Turning Point
จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตคือ การที่สูญเสียการมองเห็น และจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอมีชีวิตต่อคือ แรงบันดาลใจจากผู้พิการทางสายตาคนอื่นๆ ที่สามารถมีชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข และยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากใจและพลังของตัวเธอเอง ที่เอาชนะความหวาดกลัว และจุดบอดในชีวิต ให้เธอกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

"การร้องไห้ ไม่ได้แปลว่า อ่อนแอ แต่มันคือ พลัง ที่หลังหมดหยดน้ำตา เราจะมีความคิดใหม่ๆ ขึ้นมาแทน"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook