เผยเบื้องหลังชีวิตรักอันแสนเศร้า ผ่าน 3 ชุดไอคอนิกของ "เจ้าหญิงไดอาน่า" ผู้ไม่เคยตาย
เธอคือเจ้าหญิงของปวงชน เธอคือเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่เคยสะกดคนทั้งโลกให้หลงรัก เธอคือไอคอนแฟชั่นลำดับต้นๆ แห่งยุค 1980s และเธอมีจิตใจที่โอบอ้อมอารีเกินกว่าที่ใครจะปฏิเสธได้ ทว่าเรื่องราวความรักของเธอไม่ได้เป็นไปตามประโยคสุดท้ายของปรัมปราที่ว่า “แล้วทั้งคู่ก็ครองรักกันตราบนิจนิรันดร์” เธอคือไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ชนวนสำคัญของ War of Wales สงครามความรักผ่านสื่อที่ทั้งโลกให้ความสนใจ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องราวความรักแบบนิยายน้ำเน่าทั่วไปเท่านั้น ในโอกาสในเดือนครบรอบการจากไปของเธอ โว้กขอฉายซ้ำเรื่องราวความรักอันแสนเศร้าของเธอผ่าน 3 ชุดไอคอนิก ที่คุณจะไม่มีวันลืม...
The Wedding Dress
ไดอาน่า สเปนเซอร์ คือชื่อเดิมของเธอ ไดอาน่าเป็นสุภาพสตรีชนชั้นสูงก็จริง แต่ครอบครัวของเธอไม่ได้สมบูรณ์แบบมากนัก เพราะเธอมักจะเห็นพ่อ และแม่ของเธอทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งสิ่งนี้กลายเป็นปมหนึ่งในชีวิตของเธอ จนเธอต้องตั้งสัตย์กับตัวเองว่า เธอจะต้องมีครอบครัวที่อบอุ่น กระทั่งเธอได้มาเจอกับเจ้าชายชาลส์ และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าจะไปได้ดี ทว่าครั้งหนึ่งไดอาน่าเคยให้สัมภาษณ์กับทางสื่อ BBC ว่า "ความรักของเธอมันมี 3 คนซึ่งน่าอึดอัดเกินไป" นั่นคือตลอดเวลาที่ทั้งคู่คบกัน มักจะมีเงาของสุภาพสตรีอีกคนอย่างคามิลล่า พาร์กเกอร์ โบลส์ เข้ามาข้องแวะด้วยเสมอ กระนั้นงานแต่งงานที่ถอดแบบออกมาจากนิยายปรัมปราที่คนทั่วไปเชื่อว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง ก็เกิดขึ้นจนได้ และยังให้กำเนิดชุดแต่งงานในตำนาน ให้ได้จดจารึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นโลกอีกด้วย
วันที่ 29 กรกฎาคม 1981 คนทั่วโลกได้ยลโฉมชุดแต่งงานไอคอนิกของเจ้าหญิงไดอาน่า ฝีมือการสร้างสรรค์โดยสองดีไซเนอร์อย่างเดวิด เอมานูเอล และเอลิซาเบธ เอมานูเอล ซึ่งตัวชุดตัดเย็บจากผ้าไหมแพร Taffeta ที่มีคุณสมบัติยับได้ง่าย ทำให้รูปถ่ายชุดแต่งงานของเจ้าหญิงไดอาน่านั้นดูไม่เรียบ ทว่าชุดนั้นปักด้วยเลื่อมสลับมุกกว่า 10,000 เม็ด และปักแซมด้วยผ้าลูกไม้ Carrickmacross แบบเดียวกันกับชุดแต่งงานของราชินีแมรี ที่หางของชุดมีความยาวถึง 25 ฟุต พร้อมกับผ้าคลุมหน้า 153 หลาจากผ้าทูลล์ ที่ถูกรั้งไว้ด้วยเทียร่าเพชรเก่าแก่ของตระกูลสเปนเซอร์ ซึ่งชุดแต่งงานดังกล่าวได้กลายเป็นชุดแต่งงานต้นแบบให้กับเหล่าสุภาพสตรีชั้นสูง ที่อยากจะเป็นเลดี้ไดอาน่าในยุคนั้นในเวลาต่อมา อีกทั้งการแต่งงานในครั้งนั้นยังดึงกระแสนิยมในราชวงศ์อังกฤษให้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งในรอบหลายปี จนเหมือนกับว่าไดอาน่าได้แย่งความรักจากประชาชนทั้งหมด ไปจากราชวงศ์อังกฤษ...
The Color Block Dress
เมื่องานแต่งงานในฝันจบลง หลังจากนั้นคือชีวิตจริง... ตลอดชีวิตสมรสของทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันสองคนคือ เจ้าชายวิลเลี่ยม และเจ้าชายแฮร์รี่ และสื่อหลายสำนักก็ยังเกาะติดชีวิตสมรสของเจ้าชายชาลส์ และเจ้าหญิงไดอาน่าอย่างใกล้ชิด ที่มีทั้งกระแสข่าวในแง่บวก และแง่ลบ ออกมาอย่างไม่ขาดสายถึงชีวิตรักรสขมของทั้งคู่ ที่บ้างก็ว่าราชวงศ์อังกฤษไม่ให้ความใส่ใจไดอาน่าเท่าที่ควร (เธอจึงเริ่มหันไปอุทิศตัวเป็นนักสังคมสงเคราะห์ในช่วงนั้น กอปรกับพรสวรรค์ของเธอที่เข้ากันได้ง่ายกับเด็ก คนชรา คนป่วย และผู้ด้อยโอกาส กระทั่งทำให้หลายคนยกย่องเธอในด้านนี้) จนเธอป่วยเป็นโรคโบลีเมีย คืออาการเครียด กิน และล้วงคอเพื่อให้อาเจียน จนทำให้ไดอาน่าดูซูบผอม อีกทั้งยังมีข่าวลือว่าชาลส์กลับไปมีความสัมพันธ์กับคามิลล่า และให้ข้อมูลว่าไดอาน่าป่วยเป็นโรคเรียกร้องความสนใจ ซึ่งนับเป็นหลายข่าวลือที่สั่นคลอนความรักของทั้งคู่ และในขณะเดียวกันนี้ ยังมีหนังสือชื่อ Diana, Her True Story ที่มีเนื้อหาเปิดโปงทุกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตไดอาน่าในฐานะของราชวงศ์อังกฤษออกมาให้ประชาชนได้อ่าน ตอกย้ำความแปลกปลอมของไดอาน่าในราชวงศ์อังกฤษ และยิ่งทำให้ข่าวลือต่างๆ เรื่องความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานของทั้งคู่นั้นเข้มข้น และดูเหมือนจะเป็นจริงมากขึ้น
จนกระทั่งเมื่อครั้งที่เจ้าชายชาลส์ และเจ้าหญิงไดอาน่า เดินทางไปเยือนประเทศอินเดีย ในปี 1992 เพื่อปฏิบัติภารกิจของราชวงศ์ และเกิดเป็นรูปถ่ายอันแสนเศร้าที่เราได้เห็นเจ้าหญิงไดอาน่านั่งอยู่เพียงลำพัง หน้าปราสาทหินอ่อนทัชมาฮาลอันเลื่องชื่อ ปราสาทที่ควรจะเป็นตัวแทนแห่งความรัก ก่อนที่เธอจะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในวันนั้นด้วยประโยคสั้นๆ ว่า "It was healing" เป็นอันชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของเธอและเจ้าชายชาลส์นั้นสุดจะยื้อแล้วจริงๆ ในวันนั้นเจ้าหญิงไดอาน่าสวมชุดแมตช์สีแบบคัลเลอร์บล็อกสีม่วงแดง ซึ่งถือเป็นสีโปรดของเธอ ดังที่หลายคนเคยห็นไดอาน่าใส่ชุดแมตช์สีแดงและม่วงบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่เธอได้เดินทางไปเยือนฮ่องกง ในปี 1997 ในชุดเแจ็คเก็ตสีแดง และกระโปรงระดับเข่าสีม่วง รวมไปถึงเมื่อครั้งที่ไดอาน่าได้มาเยือนเมืองไทยในปี 1988 ด้วยเช่นกัน
The Revenge Dress
หลังจากนั้นไม่นาน พระราชวังบักกิ้งแฮมยังได้มีประกาศอย่างเป็นทางการ ถึงการแยกกันอยู่ของเจ้าชาย และเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ซึ่งนับเป็นตอนจบของชีวิตสมรสของทั้งคู่ ที่ช่างต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อตอนที่มันเริ่มต้นขึ้น กระนั้นแม้ว่าชีวิตสมรสของทั้งคู่จะจบลง แต่สงครามความรักของทั้งคู่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เมื่อทั้งคู่ขยันออกสื่อสาดโคลนกันไปมา จนสื่อหลายสำนักในอังกฤษจั่วหัวประเด็นร้อนนี้ไว้ว่า 'War of Wales' แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่กำชัยชนะของสงครามในครั้งนี้ ก็เห็นจะเป็นเจ้าหญิงไดอาน่า เมื่อเจ้าชายชาลส์ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับกับนักข่าวว่า เขามีความสัมพันธ์กับคามิลล่า พาร์กเกอร์ โบลส์ จริง นั่นยิ่งทำให้ประชาชนหันมาเชื่อน้ำคำของไดอาน่ามากกว่าสมาชิกราชวงศ์อังกฤษมากกว่าครึ่ง และในคืนเดียวกันนั้นไดอาน่าก็ได้สร้างวัฒนธรรมชุดแก้แค้นให้เกิดขึ้นในชีวิตของเหล่าสุภาพสตรีทั่วโลกจนได้
ย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน ปี 1994 สื่อมวลชนหลายคนยังต้องถูกทิ้งให้อ้าปากค้าง หลังจากการปรากฏตัวของเจ้าหญิงไดอาน่าในงานเลี้ยงวานิตี้ แฟร์ ณ หอศิลป์ Serpentine หลังจากที่เธอได้แยกทางกับเจ้าชายชาลส์เป็นที่เรียบร้อย ชุดสวยในคืนนั้นเป็นชุดกระโปรงสั้นเหนือเข่า สไตล์ชุดค็อกเทล สีดำขลับเปลือยไหล่ ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่ามีสไตล์ และสวยงามไร้กาลเวลา ในค่ำคืนนั้นทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอช่างสวยสะพรั่ง และสนุกกว่าครั้งไหนๆ ถือเป็นการปิดฉากรักสุดท้ายของชีวิตรักระหว่างเธอ และเจ้าชายชาลส์อย่างบริบูรณ์
ภาพ : AFP
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไดอาน่าจะพ้นสภาพสมาชิกราชวงศ์แล้วในเวลาต่อมา หากชีวิตของเธอยังกลายเป็นเหยื่อของเหล่าปาปารัซซี่ ที่คอยตามติดเธอแบบไม่ลดละ พร้อมขุดคุ้ยความสัมพันธ์ของสุภาพสตรีคนนี้กับชายหนุ่มหน้าใหม่ จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต ที่เธอต้องจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในกรุงปารีส ในวันที่ 31 สิงหาคม ปี 1997 เพื่อเป็นการสังเวยชีวิตของคนๆ หนึ่งให้กับความไม่รู้จัก และไม่เคารพขอบเขตของความเป็นส่วนตัว หรือสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนพึงจะได้รับ นับเป็นบทเรียนที่ตีแสกหน้าเข้าอย่างจังกับเหล่าบรรณาธิการแร้ง ที่พร้อมทำทุกอย่างเพียงเพื่อจะทึ้งข่าวจากคนดัง โดยไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้ว่าไดอาน่าจะจากไปแล้ว หากเธอก็ได้ทำตามปณิธานที่เธอเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่สำเร็จ ที่ว่า “ฉันไม่ได้อยากเป็นราชินีของอังกฤษหรอก ฉันอยากเป็นราชินีในดวงใจของประชาชนมากกว่า”...