5 อาการประจำเดือนผิดปกติ ที่สาวๆ ไม่ควรมองข้าม
สาวๆ รู้หรือไม่ว่าประจำเดือนสามารถบอกได้ว่า กำลังเกิดความผิดปกติในร่างกายของเรา ซึ่งเราก็จะพาคุณไปดูกันว่าประจำเดือนแบบไหนบ้างที่ไม่ปกติ และบ่งบอกถึงอะไร
1.ปวดท้องประจำเดือนอย่างหนัก
อาการปวดท้องประจำเดือนเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับสาวๆ ทุกคน แต่อาการปวดท้องประจำเดือนของแต่ละคนนั้นจะมีความแตกต่างกัน หากใครมีอาการปวดท้องมากร่วมกับมีอาการปวดหลังนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าสาวๆ กำลังมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรืออาจจะติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรือเกิดเนื้องอกในมดลูกได้นั่นเอง ดังนั้นใครที่มีอาการปวดท้องหนักมากๆ ควรรีบพบแพทย์ทันที
2.ประจำเดือนมานานกว่า 7 วัน
ปกติผู้หญิงจะมีประจำเดือนอยู่ที่ 2-7 วันแต่เมื่อไหร่มีประจำเดือนมากกว่า 7 วันอาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์คือมีภาวะเนื้องอกในมดลูก หรือเยื่อบุโพรงมดลูกหนากว่าปกติ เป็นต้น ดังนั้นหากสาวๆ สังเกตุเห็นว่าประจำเดือนมามากกว่า 7 วัน ให้พบแพทย์เพื่อปรึกษาหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้องจะดีกว่า
3.มีเลือดประจำเดือนออกมามากกว่าปกติ
หากคุณสังเกตเห็นว่าประจำเดือนออกมามากกว่าที่เคยเป็น และต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยกว่าปกติ นั่นก็อาจเป็นสัญญาณบอกว่าระบบสืบพันธุ์ของคุณกำลังมีปัญหา เช่น เนื้องอกในมดลูก มดลูกอักเสบ มะเร็ง เป็นต้น เพราะฉะนั้นเมื่อรู้สึกว่าเลือดออกเยอะผิดปกติก็ไม่ควรปล่อยไว้เป็นเวลานานเพราะอาจยากต่อการรักษาก็ได้
4.เลือดออกทั้งที่ไม่ใช่ช่วงวันนั้นของเดือน
หากมีเลือดออกจากช่องคลอดซึ่งไม่ใช่วันนั้นของเดือนสาวๆ ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาการดังกล่าวอาจมีผลข้างเคียงมาจากการใช้ยาคุมกำเนิด โรคไทรอยด์ หรือโรคอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจรีบไปตรวจหาสาเหตุในทันที หากเกิดจากสาเหตุที่เป็นอันตรายจะได้ทำการรักษาได้ทัน
5.เลือดประจำเดือนมีกลิ่นเหม็น
ปกติประจำเดือนจะมีกลิ่นคาวอยู่แล้วแต่หากสาวๆ สังเกตุเห็นว่าเลือดที่ออกมามีกลิ่นเหม็นคาวกว่าปกติ นั่นอาจหมายความว่าช่องคลอดอาจมีการติดเชื่อรา หรือเชื้อแบคทีเรียอยู่ก็ได้ เพราะฉะนั้นให้รีบพบแพทย์ทันทีเพราะหากชะล่าใจอาจเกิดการลุกลามจนทำให้มดลูกอักเสบได้นั่นเอง
เมื่อสาวๆ ได้ทราบสัญญาณความผิดปกติของประจำเดือนแล้ว ก็ควรหมั่นสังเกตุบ่อยๆ ว่าเรามีอาการดังกล่าวหรือไม่ หากมีความผิดปกติข้อใดข้อหนึ่งควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดอาการรุนแรงจนกลายเป็นโรคที่รักษาได้ยาก และนอกจากที่กล่าวมาแล้วก็อาจมีอาการผิดปกติอื่นๆ ได้อีก ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอาการใด ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาด