5 สาเหตุที่ทำให้มีตกขาวสีเหลือง

5 สาเหตุที่ทำให้มีตกขาวสีเหลือง

5 สาเหตุที่ทำให้มีตกขาวสีเหลือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สาวๆ หลายคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่า ตกขาวมักเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิง โดยตกขาวก็มีหลายลักษณะเช่นตกขาวสีเทา ตกขาวเป็นก้อนขาวข้น ตกขาวปนเลือด ตกขาวสีเขียว แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงตกขาวสีเหลือง เพราะตกขาวสีเหลืองสามารถบอกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย ซึ่งก็มี 5 สาเหตุที่ทำให้ตกขาวเป็นสีเหลืองดังนี้


1.ติดเชื้อแบคทีเรีย
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดถือว่าไม่เป็นอันตราย เพราะปกติแบคทีเรียชนิดนี้ยังมีหน้าที่คอยปกป้องไม่ให้แบคทีเรียชนิดอื่นมาก่อกวน แต่ถ้าเสียสมดุลเมื่อไหร่ ก็อาจก่อโรคที่ทำให้มีการติดเชื้อและอักเสบในช่องคลอดที่รุนแรงขึ้นได้ ซึ่งจะนำไปสู่การมีตกขาวสีเหลือง และการคันตามช่องคลอด


2.ติดเชื้อจากโรคหนองใน
โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการภายใน 2 อาทิตย์ ซึ่งจะมีอาการตกขาวสีเหลืองปริมาณมาก รวมถึงปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บหรือแสบร่วมด้วย


3.ติดเชื้อรา
ตกขาวสีเหลืองที่เกิดจากการติดเชื้อรา เกิดได้จากการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน การทานยากดภูมิคุ้มกัน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยสาเหตุนี้ก็ทำให้เกิดตกขาวสีเหลืองได้เช่นกัน ซึ่งการติดเชื้อราในช่องคลอด ไม่ได้ถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่หากคู่นอนเป็นเชื้อราก็อาจนำมาติดกันได้


4.พยาธิในช่องคลอด
พยาธิในช่องคลอดเกิดจากการติดเชื้อโปรโตชัว ที่พบได้จากน้ำในช่องคลอด ซึ่งติดต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยอาการติดเชื้อชนิดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้มีตกขาวสีเหลือง แต่จะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด บวม แดง แสบคันบริเวณอวัยวะเพศ ปวดปัสสาวะบ่อย และเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์


5.การสวมกางเกงในคับจนเกินไป
สาเหตุนี้ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อราซึ่งจะนำไปสู่การตกขาวสีเหลือง เพราะการสวมกางเกงในที่คับจนเกินไปจะทำให้อับชื้น รวมถึงการมีรูปร่างที่อ้วน มีเหงื่อมาก หรือการสวนล้างช่องคลอดมากไป ก็จะทำให้มีตกขาวดังกล่าวเกิดขี้น ดังนั้นควรสวมใส่กางเกงที่มีขนาดพอดี ไม่คับแน่น และระบายอากาศได้ดีด้วย

อย่างไรก็ตาม หากพบความผิดปกติในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตกขาวชนิดใดก็ตาม มีอาการมาก อาการน้อย หรือผิดปกติชนิดรุนแรง มีกลิ่นเหม็น ตกขาวปนเลือด ปวดท้องน้อย ก็ไม่ควรนิ่งเฉย ทางที่ดีไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อหาสาเหตุและได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะดีที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook