โอปอล์ ปาณิสรา เติมเต็มตัวตนให้แข็งแกร่ง พร้อมผลักดันลูกน้อยบนพื้นฐานแห่งความสุข

โอปอล์ ปาณิสรา เติมเต็มตัวตนให้แข็งแกร่ง พร้อมผลักดันลูกน้อยบนพื้นฐานแห่งความสุข

โอปอล์ ปาณิสรา เติมเต็มตัวตนให้แข็งแกร่ง พร้อมผลักดันลูกน้อยบนพื้นฐานแห่งความสุข
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

HELLO! ได้มีโอกาสสนทนากับคุณ โอปอล์-ปาณิสรา อารยะสกุล ในบริบทของความเป็น ‘แม่’ ด้วยมิติที่หลากหลายในการใช้ชีวิต และเธอพิสูจน์ให้เราเห็นว่า อะไรก็เป็นไปได้ขอเพียงเรารักและลงมือทำในสิ่งนั้น

ผลักดันลูกน้อยในแบบของ โอปอล์-ปาณิสรา
 

ปฐมบทแห่งการสร้างรากฐาน
“ตั้งแต่มีลูก ปอล์แทบไม่รับงานเบื้องหน้าเลยค่ะ ตอนนี้เน้นเฉพาะงานเบื้องหลัง ซึ่งเป็นธุรกิจของเราเอง” คุณโอปอล์กำลังกล่าวถึงบทบาทปัจจุบันในฐานะผู้บริหารบริษัท นางแมวป่า จำกัด ซึ่งเป็น Media Agency และ Production House รับผลิตโฆษณาและรายการบันเทิงหลากหลาย

“3 ปีแรกปอล์อยู่กับลูก 24 ชั่วโมง ไปไหนก็เอาไปด้วย ประชุมกับลูกค้าไปเบรกปั๊มนมไป (หัวเราะ) ปอล์ต้องการปูพื้นฐานให้ลูกว่า เขามีความรักที่สมบูรณ์ของพ่อแม่ สมมติในอนาคตลูกๆ อกหัก รู้สึกไม่มีใครรัก ปอล์หวังไว้ว่าจิตใต้สำนึกของลูกจะย้อนกลับมารำลึกได้ว่า เขามีพ่อกับแม่ที่เคยมอบความรักให้อย่างเต็มที่ และเขาสามารถเติมตัวเองให้เต็มได้เสมอ”


สถานศึกษาคือสังคมแรกของลูกน้อย
“พี่โอ๊คให้ความสำคัญกับการศึกษามากค่ะ เขารักการเรียน และมักจะมีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษา พอลูกเข้า 2 ขวบ เราก็พาไปงาน Open House ตามโรงเรียนต่างๆ เหมือนผู้ปกครองทั่วไป แต่พอมาถึง Regent’s International School Bangkok สิ่งหนึ่งที่แปลกมากคือ ลูกเดินนำเข้าไปในโรงเรียนเอง เราเห็นเขาวิ่งเล่น แล้วก็หยิบจับข้าวของแบบชิลล์ๆ ปอล์กับพี่โอ๊คเลยตัดสินใจว่างั้นให้ลูกเข้าเรียนที่นี่”

"สิ่งหนึ่งที่ปอล์รู้สึกว่าจำเป็นสำหรับมนุษย์ นอกจากครอบครัวก็คือสังคม และโรงเรียนก็คือจุดเริ่มต้นของการเข้าสังคมจริง พอลูกเข้าโรงเรียนแล้วปอล์รู้สึกว่าพัฒนาการเขาดีจัง คือเปลี่ยนไปเยอะมาก เช่น อยู่บ้านกว่าจะต้อนมากินข้าวได้ต้องมีเทคนิคหลายอย่าง แต่เข้าเรียนได้สักเทอมลูกต่อคิวตักข้าว นั่งทานเอง อย่างตอนแรกอลินร้องไห้เยอะ พอเทอมต่อมามีน้องใหม่มาเรียน ปอล์บอกอลินว่าต้องไม่ร้องแล้วนะ เพราะอลินต้องดูแลน้องที่เข้ามา น้องยังเด็กมาก ปรากฏว่าเขาเปลี่ยนเลยคอยไปปลอบน้องๆ ว่าอย่าร้องนะ เขาเกิดบทบาทใหม่ในการเป็นพี่ที่โรงเรียน หรืออย่างอลันเวลาเจอใคร เดิมทีจะใช้เวลาในการค่อยๆ มองหน้า ค่อยๆ คุย ปอล์ก็ไม่ได้คะยั้นคะยอว่าเข้าไปคุยกับเพื่อนสิให้ขนมเพื่อนสิ ไม่มีประโยชน์ เราต้องเคารพตัวตนของลูกก่อน เพื่อให้เขาเกิดความมั่นใจในตัวเอง ถ้าเขาสบายใจที่จะคุยก็ค่อยคุย จนตอนนี้อลันเข้ากับคนง่ายขึ้นเยอะ”

 
กิจกรรมที่หลากหลายคือต้นทางของการค้นพบตัวเอง
คุณโอปอล์บอกกับเราว่า เริ่มแรกการทำกิจกรรมกับครอบครัวเน้นเรื่องความสนุกสนานกับการใช้ชีวิตของลูกๆ แต่สิ่งที่ได้มาคือการช่วยฝึกวินัยให้กับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี

"ปอจะพยายามทำกิจกรรมกับลูกทุกวัน เช่น ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน เตรียมผักสำหรับทำกับข้าว ฯลฯ ส่วนพี่โอ๊คถนัดแนววิทยาศาสตร์ เขาก็จะมีเทคนิคในการถ่ายทอดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะเป็นธีมเที่ยวอย่างเดียวเลยค่ะ เด็กๆ สู้ตายมากถ้าได้เที่ยว"

"อลันเป็นแนวรักษ์โลก เขาชอบเดินป่า ดูปลา ดูนก ครั้งหนึ่งไปออกค่ายส่งแแวดล้อมของอเล็กซ์ เรนเดลล์ ตอนนั้นฝนตกพรำๆ พวกเราเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ อเล็กซ์เขาก็ชี้ขึ้นไปว่า 'นี่ไม่ใช่แค่ต้นไม้นะ แต่นี่คือบ้านของนก' จังหวะนั้นนกบินออกจากโพรงมาพอดีราวกับมีคนปล่อยคิว อลันถึงกับมองตาค้าง หลังจากนั้นถ้าเขาเห็นต้นไม้ เข้าจะบอกว่าเป็นบ้านนก ต้องไม่ตัดต้นไม้ แล้วก็ไม่ให้พ่อแม่ใช้หลอด เพราะหลอดจะไปปักจมูกเต่า อย่างนี้เป็นต้น คือทุกครั้งที่เราพาลูกไปเปิดโลก เขาจะโตขึ้น ส่วนอลิน ถึงแม้จะมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า 'หนูชอบอยู่ห้องแอร์' แต่ปอล์จะคุยว่า แม่รู้ว่าลูกชอบอะไร แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน แต่เราไปด้วยกันได้ อย่างวันนี้อลันขอไปเดินป่า เราก็ไปกับน้องก่อน ครั้งหน้า ถ้าอลินอยากไปร้านหนังสือในห้าง พวกเราก็จะไปด้วย"

“คือเด็กยุคนี้โชคดีมาก ที่มีอะไรให้เรียนรู้ในเชิงลึก ที่โรงเรียนเขาก็มีกิจกรรมให้เลือกเยอะเชียวค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกเอง ก่อนหน้านี้ปอล์เห็นลูกชอบเต้นก่อนนอนทุกคืน เลยให้เขาลองเรียนฮิปฮอป ปรากฏว่าทั้งคู่ขอเรียนต่อ เขาจะรอคอยวันที่ได้เรียนเต้นมาก ทั้งที่ปกติอลันจะเป็นคนขรึมๆ แต่ในคลาสเต้นนี่สู้ตาย ตอนนี้อลันขอแยกตัวไปเตะบอลแล้ว ส่วนอลินเห็นเพื่อนเข้าคลาสบัลเลต์ก็เลยขอเรียนบ้าง และขอเข้า Library Club เพราะชอบอ่านหนังสือ โดยพี่โอ๊คเขามีข้อแม้อย่างเดียวว่า ถ้าเลือกแล้วลูกต้องเรียนให้จบคอร์ส อย่าลองอะไรครึ่งๆ กลางๆ”


ผลักดันและพัฒนาบนพื้นฐานแห่งความสุข
"ปอล์ไม่อยากให้ลูกเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น ปอล์อยากให้ลูกตอบตัวเองได้ว่าเขาอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร ยิ่งหาตัวเองได้เร็วเท่าไรยิ่งดี ไม่ต้องเรียนเก่งมากก็ได้ ขอแค่ใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่นกับโลกใบนี้ให้เป็นเขาต้องเข็มแข็งพอ ที่จะเผชิญกับวันข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เรามีหน้าที่แค่เตรียมลูกให้พร้อมที่สุด ถึงลูกทำอาชีพใหม่ที่เราไม่รู้จัก แต่ถ้าลูกมีความสุข เขาจะดันตัวเองไปได้ และเราจะสนับสนุนเต็มที่"

"เราต้องสังเกตและสร้างเบ้าหลอมที่เหมาะกับธรรมชาติของลูก ปอล์ไม่เชื่อว่าเด็กเหมือนกัน ขนาดลูกแฝดยังชอบไม่เหมือนกันเลย อลินจะเหมือนปอล์ เห็นอะไรพุ่งเข้าใส่เลย อยากทำเดี๋ยวนั้น ต้องคอยปรามให้ใจเย็นๆ คิดดีๆ ในขณะที่อลันจะคิดเยอะเหมือนพี่โอ๊ค กว่าจะลงมือทำแต่ละอย่าง เราต้องให้กำลังใจอลันว่าทำไปเถอะ ถ้าเรารู้จักลูกดีพอพัฒนาการจะเกิด"

 
ความคาดหวัง...กับดักในความรักของคนเป็นแม่
คุณโอปอล์กล่าวทิ้งท้ายถึงการให้ความสำคัญกับลูกมากกว่าตัวเอง ให้เราได้ฟังว่า

"การที่เราเกิดความรู้สึกรักเขามากขนาดนี้ เราต้องระวังความคาดหวังของตัวเองว่า ‘ลูกไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา’ ปอล์กับพี่โอ๊คคุยกันว่า ความคาดหวังที่เรามีต่ออลินและอลัน คือขอแค่เขาเป็นคนดี...ดีในที่นี้หมายถึงไม่เบียดเบียนทั้งตัวเองและผู้อื่น ถ้าลูกเริ่มโต เราคงขอเขาแค่ไม่กี่อย่าง ยาเสพติด การพนัน และอะไรสีเทาอย่าได้ยุ่ง ที่เหลือใช้ชีวิตไปเถอะลูก ใช้ชีวิตของตัวเองให้ได้"

"ปอล์พยายามเลี้ยงอลินและอลันให้ Independent เพราะต้องการให้เขาเติมเต็มให้ตัวเองได้ด้วยตนเอง ทุกวันนี้ปอล์กับพี่โอ๊คทำงานหาเงินเพื่อให้ลูกไม่ต้องมาเลี้ยงดูตอนแก่ ไม่ว่าปอล์หรือลูก ทุกคนควรมีชีวิตของตัวเอง ปอล์มองว่าการมีลูกไม่ได้เติมเต็มอะไรนะคะ เขาไม่ควรเป็นสิ่งเติมเต็มชีวิตเราแต่ถ้าวันหนึ่งคุณมีลูก ก็แค่ดูแลเขาให้ดีที่สุด เตรียมความพร้อมให้เขารับมือกับสิ่งต่างๆ ในอนาคตได้อย่างแข็งแรงที่สุด บางคนคิดแทน แพลนให้ลูกหมดทั้งที่จริงๆ ควรปล่อยให้เขาคิดเอง กรอบที่เราตีให้ลูกได้ควรมีแค่ความรักและความผิดชอบชั่วดีเท่านั้น”

แม้คุณโอปอล์จะปรารภว่า เธอไม่สามารถเป็นคุณแม่สุดคูลอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ HELLO! มองว่า เธอนั่นแหละคูลที่สุดแล้ว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook