ตุ่มที่มักขึ้นตามใบหน้าของลูกเกิดจากอะไร และบอกโรคอะไรได้บ้าง
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในเด็ก เช่น ตุ่มสีแดงหรือผื่นที่ขึ้นตามร่างกาย มักจะปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อลูกน้อยถูกแมลงกัดต่อยหรือเกิดอาการแพ้ขึ้น เพราะผิวหนังของเด็กมีความอ่อนโยน จึงทำให้อาการผิดปกติแสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจน ดังนั้นการเตรียมรับมือกับอาการเหล่านี้ เป็นสิ่งที่คุณแม่ทุกคนควรใส่ใจ ลองมาดูกันว่าตุ่มเล็กๆ ที่ขึ้นตามใบหน้าของเด็กนั้น เกิดจากอะไร และสามารถบอกโรคอะไรได้บ้าง
สาเหตุที่ทำให้เกิดตุ่ม
ปัจจัยที่ทำให้เกิดตุ่มนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายใน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในร่างกายมากกว่า เพราะวัยเด็กยังมีภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงเต็มที่ จึงทำให้ผื่นและตุ่มเกิดขึ้นตามร่างกายได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สิ่งที่เป็นภูมิต้านทานให้กับเด็กได้ดีที่สุดก็คือนมแม่ เมื่อเด็กได้ทานนมแม่อย่างเต็มที่ ตุ่มหรือผื่นแดงที่ขึ้นตามร่างกาย ก็จะหายไปได้เอง
ตุ่มและผื่นที่ขึ้นตามใบหน้าของลูกน้อย บอกโรคอะไรได้บ้าง
ตุ่มและผื่นที่ขึ้นบนใบหน้าของลูกนั้น สามารถบ่งบอกโรคหรืออาการรอบตัวต่างๆ ได้ดังนี้ค่ะ
1.สิวในทารก
ลักษณะจะเป็นตุ่มสีแดง โดยมักจะเกิดขึ้นตามบริเวณแก้มหรือศีรษะของเด็ก บางครั้งก็เป็นตุ่มสิวไขมันเหมือนกับหนอง ลักษณะของตุ่มชนิดนี้ไม่เกิดอันตราย แต่อาจจะทำให้เด็กรู้สึกเจ็บได้ และเป็นตุ่มที่สามารถหายได้เอง
2.ผดผื่นทารก
เป็นผื่นที่พบเห็นได้กับเด็กเกือบทุกคน ลักษณะจะเป็นตุ่มน้ำใส ที่ขึ้นตามบริเวณใบหน้าของเด็กที่เกิดจากภาวะอุดตันของรูขุมขน สิ่งที่ควรระวังของตุ่มประเภทนี้ก็คือ ไม่ควรจะให้เด็กเกา เพราะอาจจะทำให้เมื่อแผลหายจะกลายเป็นรอยแดงเหลือไว้ตามตัว รอยแดงเหล่านี้ก็สามารถหายเองได้ แต่อาจจะใช้เวลานาน 3-4 เดือน
3.ผดร้อน
ลักษณะของตุ่มจะเป็นตุ่มใส ตุ่มหนอง มักขึ้นตามบริเวณใบหน้าของเด็ก สาเหตุของการเกิดผดร้อนก็มาจากอากาศที่ร้อนอบอ้าว หรือเสื้อผ้าที่ไม่มีการระบายอากาศที่ดี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นอาบน้ำให้กับลูกน้อยอย่างเสมอ ไม่ให้เนื้อตัวเหนียวเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดผดร้อน
วิธีรับมือกับปัญหาตุ่ม หรือผดผื่น
วิธีการรับมืออาการผดผื่นและตุ่มที่ขึ้นตามร่างกายของเด็กก็คือ การหมั่นทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ ตัดเล็บให้สั้น และเลือกใช้เสื้อผ้าที่เหมาะกับสภาพอากาศ ก็จะช่วยให้ความเสี่ยงของการเกิดผดผื่นและตุ่มตามร่างกายของลูกน้อยลดลง
ถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้จะไม่ได้เป็นอันตรายกับลูกน้อยมากนัก แต่ก็สร้างความไม่สบายตัวให้กับลูกน้อยได้เยอะเช่นกัน ซึ่งทำให้เด็กร้องเพราะหงุดหงิด คณพ่อคุณแม่จึงต้องหมั่นสังเกตอาการของลูกอยู่เสมอ