ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ "เมกอัพอาร์ติสต์" คิวทอง...ค่าตัวหลัก 10 สู่หลักหมื่น

ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ "เมกอัพอาร์ติสต์" คิวทอง...ค่าตัวหลัก 10 สู่หลักหมื่น

ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ "เมกอัพอาร์ติสต์" คิวทอง...ค่าตัวหลัก 10 สู่หลักหมื่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทันทีที่ "หญิง-รฐา โพธิ์งาม" ปรากฏตัวบนพรมแดงของ "เทศกาลหนังเมืองคานส์ 2013" ในรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์เรื่อง "Only God Forgives" ด้วยชุดไทยประยุกต์สุดสง่า และใบหน้าทรงผมอันงดงาม พร้อมฉีกยิ้มยกมือไหว้ตามแบบฉบับไทยนิยม

สายตานับร้อยต่างพากันหันเหความสนใจมาที่หญิง-รฐา อย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่เสียงรัวชัตเตอร์จากบรรดาตากล้องอีกหลายสิบชีวิตจะดังขึ้น เพื่อเก็บภาพของนักแสดงสาวรายนี้กันอย่างอลหม่านอื้ออึง

ภาพเบื้องหน้าความตรึงสายตาระดับโลกของหญิง-รฐา ที่หลายคนสามารถพบเจอหรือเคยเห็นผ่านตากันไปมานั้น

ทว่า เบื้องหลังหน้าผมสวยเนี้ยบบนพรมแดงเมืองคานส์ดังกล่าว เกิดขึ้นจากการรังสรรค์ของ "ฉัตรชัย เพียงอภิชาติ" ช่างแต่งหน้าทำผมหนุ่มวัย 25 ปี

สำหรับเส้นทางการไปเทศกาลหนังเมืองคานส์ ในฐานะช่างแต่งหน้าทำผมประจำตัวหญิง-รฐา ของฉัตรชัย เริ่มต้นขึ้นจากการเก็บสะสมความชื่นชอบปั้นแต่งเสริมความงามมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก จนเกิดเป็นความรักและความหลงใหลในท้ายที่สุด

"จำได้ว่าตอนอายุประมาณ 5-6 ขวบ นอกเหนือจากพี่สาวของตัวเองแล้ว เวลาเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่เฉยไม่ได้ ต้องเข้าไปจับมาแต่งหน้าทำผมให้อยู่ตลอดเวลา"

เมื่อรวบรวมความฝันได้จนถึงจุดหนึ่ง ฉัตรชัยในช่วงวัยมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนสรรพาวุธวิทยา ได้ตัดสินใจขอแม่เข้าเรียนการทำผมในช่วงปิดเทอม แน่นอนว่าเขาได้รับอนุญาตให้เลือกเรียนตามความชอบส่วนตัว ท่ามกลางการคัดค้านและไม่เห็นด้วยจากฝ่ายพ่อที่มองว่า "งานเสริมสวยไม่ใช่อาชีพหรือแนวทางสำหรับลูกผู้ชาย" ก่อนที่จะเริ่มเปิดใจยอมรับได้ในเวลาต่อมา

หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษา ฉัตรชัยมาสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง "เรียนต่อ" หรือ "ทำงาน" ขณะนั้นเขาลังเลมาก เพราะด้วยความทีมีใจรักฝักใฝ่มาทางด้านเสริมความงาม หากเลือกกระโดดเข้าสู่วงการอาชีพนี้ทันทีอย่างเต็มตัว สมัครเป็นช่างให้ร้านใดร้านหนึ่ง น่าจะสามารถช่วยให้ฝีมือในการแต่งหน้าทำผมพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วกว่าการเลือกเรียนต่อ

"แม่บอกว่า หากเลือกที่จะเป็นช่างเสริมสวยอย่างเดียว เราจะได้สังคมที่พูดคุยกันแต่เรื่องแต่งหน้าทำผมล้วน ๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี แต่คงจะดีกว่าหากสามารถอยู่ในวงสนทนานั้นได้และเรียนหนังสือควบคู่ไปด้วย เพราะมันจะทำให้โลกทัศน์กว้างยิ่งขึ้น จึงตัดสินใจเรียนต่อ"

โรงเรียนที่ฉัตรชัยเลือกเรียนต่อหลังจบชั้นมัธยมศึกษา คือ "วิทยาลัยพณิชยการบางนา" ในระดับ ปวช. สาขาการขาย ที่สามารถปรับใช้กับอาชีพช่างเสริมสวยที่เขาสนใจได้ดีที่สุด สถานศึกษาแห่งนี้ก็นับว่าเป็นฐานส่งสำคัญที่ช่วยให้ฉัตรชัยได้ก้าวเข้ามาอยู่ในอาชีพช่างเสริมสวยอย่างที่ฝันเอาไว้

ในระหว่างร่ำเรียนอยู่ที่พณิชยการบางนา เขาได้รับโอกาสจากบรรดาคณาจารย์ให้ได้แสดงออกและฝึกปรือฝีมืออย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ "อาจารย์ชม ทองสุก" อาจารย์ประจำชั้นที่ฉัตรชัยเรียกว่า "อาจารย์แม่" นับว่าเป็นบุคคลแรก ๆ ที่มองเห็นแวว และช่วยขัดเกลาความสามารถด้านการเสริมสวยให้พัฒนาขึ้นมา

"เวลามีกิจกรรมทางอาจารย์จะเลือกให้เราเป็นคนแต่งหน้าทำผมเพื่อน ๆ พี่ ๆ ตลอด แต่ตอนนั้นก็ยังแต่งได้ไม่เก่ง แต่อาศัยโอกาสที่ได้ทำบ่อย คอยพัฒนาฝีมือและทักษะเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ยิ่งในเรื่องของความเร็วด้วยแล้วยิ่งมั่นใจว่าไม่แพ้ใคร เพราะกิจกรรมหนึ่งจะมีคนร่วมหลายสิบคน และเราคือคนเดียวที่แต่งให้ เพียงแต่เพื่อน ๆ ทั้ง 20-30 คนที่เราแต่งให้จะออกมาหน้าบล็อกเดียวกันหมดเลย (หัวเราะ) เพราะฝีมือยังไม่ดีเท่าไหร่ในตอนนั้น"

จนกระทั่งฉัตรชัยเข้าสู่ช่วงการฝึกงานของระดับชั้น ปวช.3 เขาตัดสินใจเลือกไปฝึกเป็น "บีเอ เครื่องสำอาง" ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเสริมสวยขนาดใหญ่สำหรับเขา อีกทั้งยังเป็นบันไดอีกขั้นที่สำคัญที่นำฉัตรชัยเดินทางเข้าสู่วงการ "เมกอัพอาร์ติสต์ แอนด์ แฮร์สไตลิสต์" ระดับแนวหน้าเช่นในทุกวันนี้

ช่างเสริมสวยหนุ่มเล่าย้อนประสบการณ์ฝึกงานในครั้งนั้นว่า เป็นการลงมือฝึกงานที่คุ้มค่ามากยิ่งกว่าที่คาดคิดเอาไว้ นอกเหนือจากรายได้แล้ว ยังได้เรียนรู้ทักษะและเทคนิคการแต่งหน้าทำผม ที่สำคัญ ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักและถูกพูดถึงในแวดวงช่างแต่งหน้า ทั้งในเรื่องของฝีมือและนิสัยในการทำงานแบบเต็มที่ไม่เกี่ยงเรื่องเงิน

"ช่วงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มีงานมีเงินอย่างจริงจังก็ว่าได้ เพราะจากแต่ก่อนเคยทำงานหัวนึงได้แค่ 40-50 บาท ความจริงหัวละ 10 บาทก็ทำมาแล้ว ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาเป็นหัวละ 500 ซึ่งจัดว่าเป็นรายได้ที่ดีมากสำหรับนักเรียนอย่างเรา จนมาถึงตอนนี้รับงานจ็อบนึงก็แตะถึงหลักหมื่นแล้ว แต่เรื่องรายได้ตรงนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับงานด้วยว่าเป็นยังไง"

อย่างไรก็ตาม ชื่อของฉัตรชัยคงไม่มีทางเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจนไปเข้าหูของเหล่าเซเลบชื่อดังได้เลย หากขาดช่องทางการสื่อสารโปรโมตตัวเองในโลกออนไลน์

หนึ่งในเซเลบคนดังที่ช่างแต่งหน้าทำผมหนุ่มคนนี้ถือว่าเป็นคนผลักดันให้เขาเป็นที่รู้จักคนแรกภายในวงการ คือ "แพรี่พาย" กูรูเครื่องสำอางชื่อดังที่สนใจฝีมือการแต่งหน้าของฉัตรชัย จนเลือกติดต่อให้เขามารับหน้าที่แต่งหน้าให้เป็นการส่วนตัว

"ตอนนั้นเรามือสั่นมากที่ได้แต่งหน้าให้กับกูรูเครื่องสำอางชื่อดังอย่างพี่แพร์ คิดไปต่าง ๆ นานาว่าเขาจะชอบที่เราแต่งหน้าหรือเปล่า แบบว่าเกร็งมาก แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีมากเช่นกันที่ได้โอกาส เพราะพี่แพร์เอาผลงานเราไปลงอินสตาแกรม และบอกให้คนลองไปฟอลโลว์เราเพราะมีฝีมือดี จากที่เคยมีคนตามฟอลโลว์ 9 พันกว่าคนเกือบหมื่นก็กลายเป็น 2 หมื่นกว่า ตั้งแต่นั้นก็เริ่มมีงานเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ"

แต่จุดเปลี่ยนที่เรียกได้ "พีก" ที่สุดในชีวิตของฉัตรชัย คือการได้มีโอกาสร่วมงานกับหญิง-รฐา ดังที่กล่าวเอาไว้ที่ข้างต้น

เมื่อถามเหตุผลว่าทำไมหญิง-รฐา ถึงเลือกฉัตรชัย เขาจึงเล่าให้ฟังว่า ตนเองเคยถามคำถามดังกล่าวเช่นกัน และได้คำตอบกลับมาว่า จุดเด่นข้อแรกคือแต่งหน้าทำผมได้เสร็จสรรพภายในตัวคนเดียว จุดที่สองคือฝีมือดี และจุดสุดท้ายคือชื่นชอบนิสัยการทำงานที่ไม่เรื่องเยอะ

"ตอนแต่งหน้าให้พี่หญิงที่เมืองคานส์เราต้องทำการบ้านหนักมาก เพราะต้องแต่งพี่หญิงออกมาให้ดูดีและสมบูรณ์แบบที่สุดเป็นการตอบแทนความไว้ใจในครั้งนั้น ถึงขนาดต้องกลับไปเปิดตำราดูอีกหนเพื่อให้ออกมาสวยต่อหน้ากล้องและน่าจดจำ ซึ่งผลตอบรับที่ออกมาก็ดีอย่างที่เห็น ทำให้เรารู้สึกปริ่มและภาคภูมิใจมาก"

หนึ่งในปรากฏการณ์เมืองคานส์ฟีเวอร์ครั้งนั้น มีโทรศัพท์เข้ามาจองคิวแต่งหน้าอย่างมากมายจนต้องปิดเครื่องหนี

ฉัตรชัยเปลี่ยนมุมหันมาพูดถึงวงการช่างแต่งหน้าทำผมในภาพรวมว่า มีคนเดินเข้าสู่แวดวงนี้จำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือดีเกินอายุจนน่าตกใจ ดังนั้นที่รุ่นพี่ในวงการต้องทำ นอกเหนือจากการแชร์ความรู้ประสบการณ์ให้รุ่นน้องแล้วก็ต้องพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดียิ่งขึ้น และสร้างลายเซ็นในการแต่งหน้าเฉพาะตัวให้ได้

"ถึงจะบอกว่าตอนนี้มีช่างแต่งหน้าทำผมเยอะ แต่สิ่งหนึ่งที่สบายใจได้ในอาชีพนี้คือ ไม่ว่ายังไงก็มีกลุ่มลูกค้าเพียงพอสำหรับช่างเสมอ และช่าง 1 คนอาจจะรับได้วันนึงแค่ 1-2 งานเท่านั้น เราไม่สามารถทำหน้ากากมาปั๊มทีเดียวเสร็จได้ ต้องให้เวลาแต่งหน้ากับเขาอย่างเต็มที่"

ฉัตรชัยมองว่า การทำอาชีพช่างแต่งหน้าทำผมให้มั่นคง อันดับแรกต้องทำด้วยใจรัก รักในงานที่ทำ ห้ามมองว่าได้เงินน้อยก็แต่งหน้าตามราคา แต่ควรจะมองว่าต่อให้ได้เงิน 10 บาท ก็ต้องแต่งให้แน่นเต็มเครื่องทุกอย่าง (ตามหน้าตาของแต่ละคน) เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นการแต่งหน้าทำผมก็จะไม่ต่างไปจากการทำอาหารที่ใส่เครื่องไม่ครบ ซึ่งมันจะออกมาไม่อร่อยกลมกล่อม กลืนยาก

หลังจบการพูดคุยกับฉัตรชัยแล้วกลับมาเปิดผลงานการแต่งหน้าที่ผ่านมาของเขา คงต้องยอมรับอย่างสุดใจเลยว่า แนวทางการแต่งหน้าทำผมของ "เมกอัพอาร์ติสต์ แอนด์ แฮร์สไตลิสต์" คนนี้ กลมกล่อมกลืนง่ายตามที่พูดอย่างแท้จริง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook