อยากหุ่นสวยต้องไม่พลาด! 5 เคล็ดลับปรับระบบเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น

อยากหุ่นสวยต้องไม่พลาด! 5 เคล็ดลับปรับระบบเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น

อยากหุ่นสวยต้องไม่พลาด! 5 เคล็ดลับปรับระบบเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางคนกินเยอะเท่าไรก็ไม่เห็นอ้วนสักที ทำให้คุณนึกอิจฉา อยากจะมีระบบเผาผลาญที่ดีแบบเขาบ้าง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากอยากจะมีระบบเผาผลาญที่ดี ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การเผาผลาญในร่างกายช่วยเนรมิตหุ่นสวยได้ดั่งใจ เพียงคุณทำตามนี้ รับรองเลยว่าหุ่นดีจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแน่นอน


1.อาหารมื้อเช้าสำคัญที่สุด

ข้อสำคัญในการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยทำงาน หรือวัยผู้สูงอายุ นั่นก็คือ การทานอาหารเช้า จากการศึกษารายงานว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด หากร่างกายขาดมื้อเช้า จะส่งผลทำให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น ทานอาหารมากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานของระบบย่อยอาหารลดลงสมองจึงสั่งการให้หลั่งสารเคมีชื่อว่า นิวโรเพปไทด์ วาย (Neuropeptide Y) ทำให้เกิดความอยากอาหารมาก และยังส่งผลในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ระบบน้ำตาลในเลือดตก และไม่มีสมาธิ เป็นต้น

Tips อาหารมื้อเช้า

วิธีเลือกมื้อเช้า ควรเป็นเมนูอาหารทานง่ายแต่อุดมไปด้วยพลังงานและสารอาหารครบ 5 หมู่ ตัวอย่างประเภทอาหารที่แนะนำ อย่างเช่น ข้าวกล้อง ข้าวที่ไม่ผ่านขัดสี ขนมปัง นมสด น้ำเต้าหู้ ไข่ไก่ หรือจะเป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา ไก่ เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถเสริมเมนูผักผลไม้ที่สามารถทานได้ง่ายๆ เช่น น้ำผลไม้ต่างๆ หรือสมูทตี้ผลไม้ สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร ในมื้อเช้าควรเน้นเป็นโปรตีนที่ไม่ติดมัน เพื่อให้ได้รับพลังงานที่เพียงพอและช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นาน


2.ออกกำลังกายแบบผสมผสาน

การออกกำลังกายที่นิยมกันโดยแพร่หลายหลักๆ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ตัวอย่างเช่น วิ่ง เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน กีฬาเหล่านี้จะช่วยในเรื่องของระบบหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญมวลไขมันที่สะสมในร่างกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ส่วนอีกประเภทก็คือ การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งหรือการออกกำลังกายโดยใช้น้ำหนัก โดยเป็นการออกกำลังกายที่เน้นเพิ่มมวลกล้ามเนื้อในร่างกายให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายให้มากกว่าปกติ

Tips ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ควรออกกำลังกาย 3-5 วัน/สัปดาห์ ให้ระดับความเหนื่อยอยู่ในระดับปานกลาง (สามารถพูดได้เป็นคำๆ) และจะออกกำลังกายต่อเนื่อง 30 นาที หรือแบ่งการออกกำลังกายเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 10 นาทีก็ได้

การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง ควรออกกำลังกาย 3-5 วัน/สัปดาห์ และออกกำลังกายท่าละ 8-12 ครั้ง/เซต โดยทำ 3 เซต/ท่า ที่สำคัญหลังจากออกกำลังกายแล้วไม่ควรทานอาหารทันที เพราะในช่วง 30 นาทีแรกหลังออกกำลังกาย ร่างกายจะมีการดึงไขมันหรือน้ำตาลในเลือดไปใช้ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป


3.เติมแอลคาร์นิทีน

แอลคาร์นิทีน คือสารที่ถูกสร้างขึ้นจากตับ เกิดจากการร่วมตัวกันของกรดอะมิโน 2 ชนิด คือ ไลซีน (Lysine) และเมไทโอนีน (Methionine) โดยหลังจากตับสร้างสารนี้ขึ้นมา สารเหล่านี้ก็จะถูกส่งต่อไปยังกล้ามเนื้อต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งแอลคาร์นิทิน มีส่วนช่วยให้กระบวนการดึงไขมันออกมาเผาผลาญเป็นพลังงานง่ายขึ้น แหล่งของแอลคาร์นิทินที่พบได้จากแหล่งอาหาร คือ เนื้อสัตว์ นม อะโวคาโด และถั่ว


4.เวลานอนก็สำคัญ

ปกติร่างกายคนเราจะมีระบบรักษาสมดุลต่างๆ ควบคุมประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย ซึ่งระบบเหล่านี้ถูกควบคุมโดยฮอร์โมนในร่างกายหลากหลายชนิด เวลาในการเข้านอนที่เหมาะสมและดีที่สุดของคนเราก็คือ ช่วง 21.00-23.00 น. โดยเป็นเวลาที่ภูมิต้านทานโรคทำงานได้ดี คลื่นสมองสงบนิ่ง ร่างกายเกิดการพักผ่อนที่แท้จริง ตัวอย่างฮอร์โมนที่หลั่งเมื่อเข้านอนในเวลาที่เหมาะสมคือ เล็ปติน (Leptin) โดยเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่ม และสามารถช่วยรักษาสมดุลน้ำหนักให้คงที่


5.ดื่มน้ำให้เพียงพอ

คำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพที่สำคัญ ส่วนหนึ่งที่หลายคนคงเคยได้รู้และพบเห็นมาบ้างก็คือ การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ซึ่งปริมาณน้ำเปล่าที่เพียงพอต่อความต้องการต่อวัน คือ 8-12 แก้ว เมื่อดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ หากดื่มน้ำช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอนตอนเย็น ยังสามารถช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายได้อีกด้วย

เพียงแค่หันมาดูแลตัวเองสักนิด ร่างกายที่มีสุขภาพดี ระบบเผาผลาญดี ก็สามารถเป็นของทุกๆ คนได้ อีกทั้งการดูแลตัวเองอย่างดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงให้การเจ็บป่วยในอนาคตได้อีกด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook