สาเหตุของการเกิดตุ่มเล็กๆ บนใบหน้าลูก พร้อมวิธีรับมือง่ายๆ ที่คุณแม่ทำได้

คุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งหัดเลี้ยงลูก อาจจะกังวลไปกับทุกสิ่งอย่างที่ผิดปกติเกี่ยวกับลูก ไม่เว้นแม้กระทั่งการที่ลูกน้อยมีจุด หรือมีตุ่มขึ้นตามใบหน้า ถ้าหากมีสาเหตุมาจากมด หรือยุงกัดก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ถ้าหาสาเหตุไม่ได้ก็คงทำให้คุณแม่หลายคนร้อนใจไม่น้อย เพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรร้ายแรงตามมา อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งตกใจมากเกินไป เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจกับการเกิดตุ่มนี้ พร้อมวิธีรับมือหากเกิดขึ้นกับลูกน้อยของคุณกันดีกว่า

ตุ่มเล็กๆ บนใบหน้าของลูก เกิดจากอะไร

เนื่องจากเมื่อแรกเกิดนั้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมถึงผิวของลูกน้อยจะยังไม่สมบูรณ์แข็งแรงดี ซึ่งในที่นี้ก็รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันด้วย และเมื่อสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่ร้อนๆ หนาวๆ รวมถึงฝุ่นและควัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบตุ่มเล็กที่อาจจะใสบ้าง แดงบ้างตามใบหน้าและลำตัวของเจ้าตัวน้อย แต่ถ้าคุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียว อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไปเอง

แต่หากตุ่มเหล่านี้ยังคงขึ้นบนใบหน้า ถึงแม้จะมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ผ่านไปแล้ว 3 เดือนก็ตาม ให้สังเกตดูว่าลูกแพ้สิ่งใดหรือไม่ รวมถึงต้องสำรวจบริเวณที่นอนของลูกว่ามีสิ่งสกปรกใดๆ หรือเปล่า เพราะบางทีตุ่มเหล่านี้อาจจะเกิดจากปัจจัยภายนอกที่คุณแม่คาดไม่ถึงก็เป็นได้นั่นเอง

วิธีรับมือตุ่มเล็กๆ ที่ขึ้นตามใบหน้าของลูก

1.ให้ลูกดื่มนมแม่เป็นประจำ ไม่มียาไหน จะวิเศษไปกว่าน้ำนมของแม่อีกแล้ว เพราะในน้ำนมของแม่นั้น มีประโยชน์ที่สำคัญมากมายโดยจะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของลูกให้มีความแข็งแรง นอกจากเรื่องของตุ่มแล้ว อาการเจ็บป่วยก็สามารถหายได้เช่นกัน และหายได้เร็วกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมวัวถึง 2 เท่าด้วย

2.ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทารกเท่านั้น เพราะผิวของทารกนั้นค่อนข้างบอบบาง คุณแม่จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฉลากระบุว่าสำหรับเด็กทารกเท่านั้น เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะอ่อนโยน และมักจะใช้สารสกัดจากธรรมชาติ จึงช่วยลดการเกิดตุ่มและผื่นคันได้เป็นอย่างดี

3.รักษาความสะอาดให้ดี ไม่ใช่แค่บริเวณที่นอนของลูกเท่านั้น แต่รวมถึงเสื้อผ้าของลูกด้วย แนะนำให้หาเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย ที่มีความอ่อนนุ่มและระบายอากาศได้ดีมาสวมใส่ให้ลูกก็จะช่วยลดความอับชื้นที่อาจเกิดขึ้นได้

หากคุณแม่คนไหนรู้สึกกังวลใจกับเรื่องตุ่มจริงๆ คุณอาจลองพาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและขอคำแนะนำเพื่อความสบายใจของตัวคุณแม่เองก็ได้เช่นกัน