"สเต็มเซลล์" กับความงาม นพ.สุรเดช หงส์อิง อันตรายจากเซลล์กลายพันธุ์
"สเต็มเซลล์" กับความงาม นพ.สุรเดช หงส์อิง อันตรายจากเซลล์กลายพันธุ์
ความเชื่อที่ว่าสเต็มเซลล์สามารถนำมารักษาอาการผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และนำมาใช้ในธุรกิจความงาม ที่กำลังได้รับความนิยมมากในขณะนี้ แม้จะยังไม่มีสถาบันใดออกมารองรับผลสำเร็จของสเต็มเซลล์ก็ตามที
หากสำรวจตามถนนสายธุรกิจอย่างสุขุมวิท จะพบว่ามีสถาบันความงามที่รับฉีดสเต็มเซลล์เพื่อความงามกันมาก โดยพยายามเลี่ยงใช้คำโฆษณา จนตอนนี้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งที่ได้ชื่อว่าใช้สเต็มเซลล์ผิดวิธีระดับต้น ๆ ของโลก โดยตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ หรือบางคนบินไปฉีดไกลถึงต่างประเทศก็มีให้เห็น
หลายสถาบันพูดถึงแต่ผลดีที่ยังไม่มีการพิสูจน์ แต่ไม่มีใครออกมาพูดถึงผลเสียที่เกิดขึ้น อาจเพราะไม่เกิดผลอะไรเลย หรืออาจจะไม่กล้า เพราะอับอาย และจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เสียแน่ ๆ คือเสียเงินฟรี แม้ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายระดับ 7 หลักขึ้นไปได้สบาย ๆ ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีคำเตือนจากแพทย์หลายสถาบัน ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับสเต็มเซลล์ที่ถูกต้อง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพ่ายการตลาดทางธุรกิจของสถาบันความงามที่พยายามพลิกแพลงกลยุทธ์ แม้แต่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็มิอาจเข้าถึงได้ หากไม่ได้รับการร้องเรียนก็เข้าตรวจสอบได้ยาก หรือแม้แต่แพทยสภาเองก็เข้าไปจัดการไม่ได้ เพราะไม่ใช่ "หมอ"
น.พ.สุรเดช หงส์อิง แพทย์กุมารเวชผู้เชี่ยวชาญโรคเลือดและโรคมะเร็งในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี และประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายระดมทุน มูลนิธิรามาธิบดีฯ จัดหาทุนเพื่อทำการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต อาจารย์สุรเดชยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต อธิบายว่า ปัจจุบันสเต็มเซลล์ใช้รักษาเฉพาะโรคโลหิตวิทยาที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ ส่วนการนำไปใช้อย่างอื่นยังไม่มีการอนุมัติจากหน่วยงานใด
สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิด (เซลล์ตัวอ่อน) ปัจจุบันมีความเข้าใจผิดอยู่มาก เพราะเราเข้าใจว่าเซลล์ต้นกำเนิดกับเซลล์ตัวอ่อนมีอยู่อย่างเดียว แต่จริง ๆ มีความหลากหลายมาก สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ
ประเภทแรกคือ "เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน" อาจจะเป็นสัตว์หรือมนุษย์ก็ได้ ซึ่งได้จากการนำไข่และอสุจิมาผสมกันจนเป็นตัวอ่อนภายใน 1 สัปดาห์ แล้วดึงเนื้อเยื่อจากตัวอ่อนมาผลิตเป็นเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งมีการจดลิขสิทธิ์หลายร้อยแห่ง ในประเทศไทยก็มีการทำแห่งแรกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
"เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ สามารถที่จะเป็นอวัยวะใดก็ได้ เพราะเป็นต้นกำเนิดมาก ๆ เราจะสร้างเป็นอวัยวะใดก็ได้หมด แต่ปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ ยังไม่มีใครนำมาใช้ในคน เนื่องจากคุณสมบัติเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ เมื่อเวลาฉีดในสัตว์ทดลอง การควบคุมให้เป็นอวัยวะที่เราอยากได้มันยาก เพราะมันจะเป็นอวัยวะใดก็ได้ หรืออาจจะเจริญผิดอวัยวะก็ได้ แทนที่จะได้ตับกลับกลายเป็นไต หรืออะไรอย่างอื่นแบบผิดที่ผิดทาง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีการเอามาใช้ในคน"
ฉะนั้นเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์ที่นำมาใช้ในมนุษย์ยังไม่มี และยังไม่มีการทดลองหรือวิจัยใดประสบความสำเร็จในโลกใบนี้
"ดังนั้น ใครที่มาบอกว่าเอาเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนของมนุษย์มาใช้ในคน โกหก...! ยิ่งการใช้เซลล์จากสัตว์มาใส่ในคนยิ่งยากไปกันใหญ่ เพราะข้ามสายพันธุ์ เรียกว่า โกหกทั้งเพ การนำเอาผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์จากสัตว์มาใช้ในคน นี่มันเป็นการข้ามสปีชีส์เลยนะ ในทางการแพทย์เราเรียนรู้ว่า ร่างกายเราไม่มีทางรับสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายได้ ถ้าไปฉีดบ่อย ๆ อาจจะเกิดโรคภูมิคุ้มกันมันเสีย กลายเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง"
เซลล์ต้นกำเนิดประเภทที่สองคือ "เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวเต็มวัย" ซึ่งสามารถนำมาจากมนุษย์ที่โตเต็มวัย แต่ปัญหาคือ การบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดจากมนุษย์มันมีความจำเพาะของอวัยวะ ต่างกับเซลล์ตัวอ่อนที่มาจากอสุจิมาผสมกับไข่ แล้วออกมาเป็นตัวอ่อนประมาณ 1 สัปดาห์แล้วดึงออกมาใช้ สามารถไปอวัยวะใดก็ได้
แต่เซลล์ต้นกำเนิดของตัวเต็มวัย ต้องประจำอวัยวะเท่านั้น เช่น จากสมองก็ต้องเป็นสมอง จากตับก็ต้องเป็นตับ เพราะแต่ละอวัยวะของมนุษย์มีสเต็มเซลล์ประจำอวัยวะนั้น ๆ
"การที่เซลล์จะเจริญข้ามอวัยวะ ข้ามสายพันธุ์แทบจะไม่ได้หรือน้อยมาก เพราะมันถูกกำหนดมาแล้วในเซลล์ต้นกำเนิดตัวเต็มวัย ซึ่งประจำอวัยวะนั้น ๆ"
อาจารย์แพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี สรุปอีกครั้งว่า สเต็มเซลล์ที่กล่าวถึงกันในปัจจุบันซึ่งนำมาใช้ในการรักษาคนมีอยู่ชนิดเดียวคือ เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่ดูดมาจากไขกระดูก ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่จะเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่อไป
"ไม่ว่าจะเอามาจากไขกระดูก หลอดเลือด หรือรก ล้วนเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตทั้งนั้น ฉะนั้นการรักษาโดยตรงคือ การรักษาโรคทางโลหิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ ภูมิคุ้มกันผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อันนี้ถือเป็นมาตรฐานที่รักษามาแล้วทั่วโลกมาเกือบ 50 ปี ถือว่าอนุมัติแล้ว ไม่ต้องผ่านกระบวนการวิจัย ถือว่าเป็นการรักษามาตรฐาน"
อย่างไรก็ตาม หลายคนเข้าใจว่า การนำเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตมารักษาอวัยวะอื่นที่เสื่อมได้นั้น เพราะมีหลักฐานในหลอดทดลองว่าทำได้คือ เอาเซลล์เม็ดโลหิตมาเลี้ยงสมองหรือหัวใจก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้การนำมารักษาในคน กำลังอยู่ในขั้นการทดลอง ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจะกลายเป็นสมองหรือกลายเป็นหัวใจได้ ในบางคนอาจจะได้ผลดี บางคนอาจจะได้ผลเสีย
"ความยากคือ สเต็มเซลล์เม็ดโลหิตต้องนำมาตอนยังมีชีวิต แต่อยู่ดี ๆ ใครจะไปเจาะกะโหลกเอาเซลล์จากสมองมาตอนเป็น ๆ ใครจะไปเจาะตับเจาะหัวใจมาบริจาค ฉะนั้นการบริจาคสเต็มเซลล์ที่ง่ายที่สุดคือ การเจาะไขกระดูก ที่ได้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด"
"ที่ว่าสเต็มเซลล์มาใช้กับความงามนั้นไม่จริง"
อาจารย์สุรเดชอธิบายให้เห็นภาพว่า เรื่องสเต็มเซลล์กับความงามยังไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าคนที่ฉีดสเต็มเซลล์แล้วจะงดงาม แต่ได้แน่ ๆ คือ เสียตังค์
"เราไม่มีทางรู้ว่าเขาจะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายเรา เพราะสูตรความงามมีตั้งหลายสูตร แต่กลับมาบอกว่า ฉีดสเต็มเซลล์แล้วเวิร์ก ซึ่งตอนนี้เป็นแค่การทดลอง เพราะไม่ใช่การรักษา ดังนั้นต้องไม่เก็บเงินคนไข้"
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์สุรเดชได้ยกตัวอย่างคนไข้ที่ได้รับผลกระทบจากการฉีดสเต็มเซลล์ว่า มีการตีพิมพ์ลงในวารสารทางการแพทย์เล่มหนึ่งว่า มีคนไข้เป็นโรค SLE หรือโรคพุ่มพวง นำเอาเซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกตัวเองไปเพาะแล้วฉีดเข้าไปในไต ผลปรากฏว่าคนไข้ตาย จากเซลล์ที่ฉีดเข้าไปจนกลายเป็นเนื้องอกแตกตาย
อาจารย์สุรเดชชี้แจงถึงอันตรายของสเต็มเซลล์หากใช้แบบผิด ๆ อาจจะเกิดโรคร้ายแรงที่เราไม่รู้จักก็เป็นได้ รวมถึงกระบวนการผลิตสเต็มเซลล์ที่อาจจะไม่ผ่านการฆ่าเชื้อตรวจสอบก่อนฉีดเข้าร่างกาย ตามคลินิกต่าง ๆ ที่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ จึงไม่มีใครรับรองว่าจะปลอดภัย อาจจะกลายเป็นมะเร็งและผลาญเงินไปหลายล้านบาท
อันตรายที่สุดคือ มีการนำเอาผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์จากสัตว์มาใช้ในคน !