NIA โชว์ 2 นวัตกรรมเตือนภัย "ป้องกันเด็กหาย - ลืมเด็กไว้ในรถ"
NIA โชว์นวัตกรรม Save the kids และ GPS Watch POMO ตัวช่วยเตือนภัยการลืมเด็กไว้บนรถ และการติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหาย ลดปัญหาการเสียชีวิตและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็กเล็ก
ความปลอดภัยของลูกน้อยถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเห็นข่าวการสูญหายหรือเสียชีวิตของเด็กที่เกิดจากอุบัติเหตุและความประมาทของผู้เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มปฐมวัย ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ จำเป็นต้องมีมาตรการในการป้องกันที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งมีเครื่องมือที่ช่วยให้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ง่ายและใกล้ตัวทุกคนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการเตือนภัย เครื่องมือที่ช่วยให้เด็กอยู่ในสายตาพ่อแม่ตลอดเวลา หรือแม้แต่กระทั่งนวัตกรรมที่ใช้ง่ายสำหรับเด็กที่อายุยังน้อย
วันนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จึงขออาสาพาไปรู้จักนวัตกรรมของสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการไทยที่ชื่อว่า “Save the Kids: นวัตกรรมที่เข้ามาช่วยป้องกันปัญหาการลืมเด็กไว้บนรถ” และ “GPS Watch POMO: นาฬิกาติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหายโพโมะ” ซึ่งเป็น 2 นวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA ซึ่งจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหายห่วงเกี่ยวกับภาวะความเสี่ยง และเพิ่มความเซฟตี้ให้กับบรรดาเจ้าตัวน้อยได้มากกว่าที่ผ่านมา
โดยนวัตกรรมชิ้นแรกคือ “Save the kids” นวัตกรรมที่เข้ามาช่วยป้องกันปัญหาการลืมเด็กไว้บนรถ โดยนายปิติชัย ปิติมณียากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูแคนส์ จำกัด เล่าว่า “Save the kids” เกิดจากปัญหาการลืมเด็กไว้ในรถทำให้เด็กเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องทุกปี โดยการถูกทิ้งไว้บนรถเป็นเวลานาน ร่างกายของเด็กเล็กจะมีอุณหภูมิที่สูงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะสูญเสียน้ำในร่างกาย และเด็กจะมีโอกาสเสียชีวิตได้ภายใน 2 ชั่วโมง
จากปัญหาดังกล่าวตนจึงเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องมีนวัตกรรมเข้ามาแก้ไขและสร้างความปลอดภัยให้กับเด็ก ทางบริษัทจึงได้คิดค้นนวัตกรรม “Bio Censor” ซึ่งเป็นนวัตกรรมการตรวจสิ่งมีชีวิตจากอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ และความชื้นที่เกิดขึ้นจากการหายใจ เนื่องจากหากร่างกายคนเราเริ่มร้อนความชื้นในร่างกายจะต่ำลง และจะมีการคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
การทำงานของระบบ Bio Censor เป็นการทำงานบนแพลตฟอร์ม IOT โดยเครื่องจะเริ่มตรวจจับตั้งแต่ที่มีการดับเครื่องยนต์ หากมีคนติดอยู่ในรถประมาณ 15 นาที ระบบจะเริ่มวัดระบบคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ภายในรถ และหากพบว่ามีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ดูแลรถ หรือครู ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ว่ามีคนติดอยู่ในรถ ซึ่งการแจ้งเตือนนี้จะทำให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที โดยระบบการทำงานของ Bio Censor มีความแม่นยำ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของเด็กที่ติดอยู่ในรถได้มากถึง 95%
นายปิติชัย เล่าต่อว่า นอกจากระบบ Bio Censor แล้ว “Save the kids” ยังมีนวัตกรรม GPS Censor ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะเช้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับรถรับ-ส่งนักเรียน โดยหากคนขับรถมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ประมาท หวาดเสียว ระบบจะแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือของผู้ปกครองทันที นอกจากนี้ ระบบยังสามารถแจ้งเวลาที่รถรับ-ส่งจะเดินทางมารับเด็กได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากการทดลองใช้ระบบของ “save the kids” กับโรงเรียนและผู้ปกครองในกลุ่มตัวอย่าง ส่วนมากค่อนข้างพอใจ เพราะนวัตกรรมช่วยให้มั่นใจว่าการเดินทางไปโรงเรียนของเด็กจะมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมองว่าในอนาคตนวัตกรรมสำหรับเด็กจะมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น แต่จะเน้นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยเหลือด้านพื้นฐานของชีวิตเด็กและต้องไม่ละเมิดสิทธิเด็ก
และอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะช่วยป้องกันปัญหาเด็กหาย และปัญหาอาชญากรรมในเด็กก็คือ “GPS Watch POMO: นาฬิกาติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหายโพโมะ” โดยนายฉัตรชัย ตั้งจิตรตรง ผู้ก่อตั้งบริษัท โพโมะ เฮาส์ จํากัด เล่าว่า นาฬิกาติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหายโพโมะนี้ ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่ตนเคยพลัดหลงกับลูก ดังนั้น จึงอยากหานวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันเกิดเหตุการณ์เด็กหาย และสุดท้ายกลายเป็นเหตุอาชญากรรม ตนและทีมงานจึงได้เริ่มคิดค้นนวัตกรรมนาฬิกาที่ใช้สำหรับติดตามเด็กเพื่อป้องกันเด็กหายหรือเด็กพลัดหลง
นาฬิกาโพโมะจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้คู่กับแอบพลิเคชั่น POMO Connect ซึ่งผู้ปกครองจะต้องดาวน์โหลดเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับนาฬิกา โดยกระบวนการทำงานของนาฬิกาโพโมะจะใช้ระบบการติดตามตัวผู้ส่วมใส่ด้วยกัน 3 ระบบ คือ ระบบ WIFI หากเด็กอยู่ในอาคารที่มี WIFI นาฬิกาจะแท็กสัญญาณอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผู้ปกครองสามารถรู้พิกัดเด็กได้ทันที ระบบ GPS จะทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่เด็กอยู่ ซึ่งระบบนี้จะใช้ในกรณีที่เด็กอยู่พื้นที่โล่งแจ้ง และระบบ A GPS ซึ่งจะเป็นระบบที่เข้ามาช่วยคำนวณตำแหน่งให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มระบบ Take me home ซึ่งเป็นระบบบอกเส้นทางให้แก่เด็ก ซึ่งจะเป็นการสอนให้เด็กอ่านแผนที่เป็น รวมถึงปุ่ม SOS ที่หากเกิดกรณีฉุกเฉินจะสามารถกดและส่งการแจ้งเตือนไปถึงผู้ปกครองได้ โดยจะบอกพิกัดได้อย่างแม่นยํามาก ทำให้ผู้ปกครองสามารถค้นหาเด็กได้รวดเร็วขึ้น ช่วยลดความกังวลของผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการพัฒนาระบบ AI เข้าไปในนาฬิกาให้เด็กสามารถพูดคุย เล่มเกมทายสัตว์ด้วยเสียง โดยในฟังก์ชันนี้จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งลดพฤติกรรมการติดหน้าจอได้ ส่วนการใช้งานสามารถนั้น ใช้ได้ตั้งแต่เด็กอนุบาลไปจนถึงเด็กประถม ซึ่งถือว่าไม่มีความซับซ้อนในเชิงเทคนิคเพียงแค่สวมใส่ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในตัวเด็กได้ทันที
นายฉัตรชัย เล่าต่อว่า ขณะนี้ทางบริษัทยังได้วางแผนการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมนาฬิกาโพโมะให้สามารถตอบโจทย์การดูแลเด็กได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยการพัฒนาให้รองรับระบบ 4G รวมไปถึงการเพิ่มฟังก์ชั่นอื่นเข้าไปในตัวนาฬิกา และการดีไซน์รูปแบบให้ดึงดูดและน่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมด ส่วนอนาคตมองว่านวัตกรรมสำหรับเด็กนั้นมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะในปัจจุบันผู้ปกครองหันมาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่จะช่วยแจ้งเตือน และระบุที่อยู่ของลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งกับตัวเด็กและคนใกล้ตัว และเป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการลงทุน
เชื่อว่าบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ได้รู้จักกับ 2 นวัตกรรมนี้ คงจะมีความสบายใจหายห่วงมากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับความใส่ใจของบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย เพราะการจะทำให้เด็กมีความปลอดภัยกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้นั้นต้องอาศัยหลากหลายปัจจัยในการทำให้เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่เชื่อว่าการมีนวัตกรรมดีๆ เข้ามาช่วยนั้น เป็นเทรนด์ที่จะถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในอนาคตแน่นอน