ชีพจรลงเท้า ตะลุยแดนซากุระ

โอะฮาโยโกะไซมัส แปลว่า อรุณสวัสดิ์ยามเช้าคร๊า แหม่ๆ วันนี้อากาศดีมว๊าก จะว่าอินเลิฟญี่ปุ่นก็ได้นะ คริคริ

ความเดิมตอนที่แล้ว ภายหลังจากต่อแถวยาวเพื่อดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างทางก็จะมีบริการขายแก้ว เพื่อที่จะได้เก็บเป็นที่ระลึกและใช้ดื่มน้ำ หากไม่อยากเสียเงิน ทางวัดก็มีไม้กระบอกยาวไว้บริการนักท่องเที่ยว สามารถขึ้นไปได้ครั้งละ 3 คน พอถึงคิ้วหลังอธิฐานเสร็จก็ เอื้อมกระบอกตักน้ำไปรองน้ำ แล้วค่อยดื่ม น้ำเย็นชื่นใจ ออกจากจุดนี้ ยังมีจุดแวะที่ขึ้นชื่อที่สุดของวัด คือ หินบอกรัก ซึ่งจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ มีเคล็ดลับอยู่ที่ต้องปิดตา จากหินก้อนแรกแล้วเดินไปยังหินอีกก้อน ที่อยู่ห่างกัน ประมาณ 200 เมตร ระหว่างนั้นก็ตั้งจิตอธิฐานให้สมหวังในความรัก เทคนิคอยู่ที่ต้องมีเพื่อนไปด้วยเพื่อคอยบอกทางคร๊า มิรึเดี๊ยนจะพลาด ข้างๆ กันยังมีขายของที่ระลึกสำหรับคู่รักที่เชื่อว่า ใครซื้อเก็บความรักจะอยู่นานเท่านาน

หลังจากอิ่มบุญแล้วก็เดินลงมาจุดด้านล่าง วันนี้คนแอบเยอะเพราะเป็นวันหยุด แอบเดินช็อปไปเรื่อยๆ มีให้เลือกแวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือไม่น้อย แต่ร้านยอดนิยมเห็นจะเป็นร้านคิตตี้ใส่กิโมโน แสนน่ารัก จากนั้นเราออกเดินทางไปต่อที่ ปราสาทคินคาคุจิหรือปราสาททองกันคร๊า สวยจนแทบหยุดหายใจ ตัวปราสาทเป็นสีทองทั้งหลัง แถมยังมีนกฟินิกซ์บนยอดปราสาท ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เป็นนกที่อมตะที่ไม่มีวันตายค่ะ แถมปราสาทแห่งนี้ยังเคยปรากฏในเรื่องเณรน้อยเจ้าปัญญา-อิคคิวซัง ด้วยน๊า

ว้าวๆ สวยจับจิตขนาดนี้ อดไม่ได้ที่จะแชะภาพมาฝากคร๊า บรรยากาศภายในวัด ก็รื่นรมไปด้วย ดอกไม้ผลัดสี สีแดง ส้ม เหลือง อร่าม สวยมว๊าก ห้อมล้อมไปด้วยสระน้ำที่มีปลาแหวกว่าย ระหว่างเดินไปตามทางเดินยังมีจุดแวะพัก ให้สักการะพุทธรูปและหินโบราณ ที่ขึ้นชื่อ เห็นมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยที่พยายามโยนเหรียญให้ลงถ้วย เพื่อเสียงทาย ได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจมาเป็นระยะ ใครโยนเหรียญลงนั้นหมายความว่า คำอธิฐานเป็นจริง อร๊ายยยขอแว้บไปลองด้วยเปรมกันถ้วนหน้าค่ะ

ปิดท้ายด้วยการไปกินซุปหมอไฟ้ ร้านดังที่ซูโม่นิยมมารับประทาน อร่อยตั้งแต่น้ำซุป ถึงเครื่องเคียง ทั้งผักสด เนื้อหมู ตามด้วยน้ำจิ๋มรสเด็ด แถมเจ้าของร้านยังใจดีเสิร์ฟให้กินไม่อั้น โอ้ว! ลั่นล่า

เที่ยวญี่ปุ่นรอบนี้ทำเอาฟินมว๊ากก ทั้งช้อป ชิม ชิล ไม่ได้ขอวีซ่า อาหารอร่อย ผู้คนเป็นมิตร มิน่าล่ะใครๆ ก็รักญี่ปุ่นมว๊ากกก