5 วิธีฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ก้าวผ่านวิกฤติ COVID-19 ง่ายขึ้น
เริ่มตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 การใช้ชีวิตของผู้คนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น การใช้ชีวิตก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้ข้อปฏิบัติต่างๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหม่ และนั่นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตที่ต่างไปจากเดิม ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนอย่างมาก เราจึงชวนให้ทุกคนหันมาฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ก้าวผ่านช่วงวิกฤตินี้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
1.มีสติและทำความเข้าใจกับสถานการณ์
ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เท่านั้นที่เราจะต้องมีสติและทำความเข้าใจกับสถานการณ์ต่างๆ แต่รวมถึงทุกๆ สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีสติกับมัน เพราะการมีสติจะช่วยให้เราสามารถวางแผนและประเมินสถานการณ์ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากมายนัก
2.ติดตามข่าวสารแต่พอดี
แน่นอนว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม การติดตามข่าวสารถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะต้องให้ความสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า ในยุคที่มีการผลิตคอนเทนต์ขึ้นมามากมายเพื่อเรียกยอดไลค์ ก็มีโอกาสทำให้เราเสพข่าวสารที่ผิดพลาดไปจากข้อมูลจริง ดังนั้นจึงควรติดตามข่าวสารแต่พอดี โดยเริ่มจากการเลือกเสพข่าวจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และแบ่งเวลาสำหรับการติดตามข่าวสารให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการเสพสื่อที่มากจนเกินไป จนอาจจะก่อให้เกิดอาการแพนิกตามมาได้
3.ค้นพบตัวตนใหม่ๆ จากการทำกิจกรรม
ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดนี้ หลายคนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากบางบริษัทหรือบางองค์กรมีนโยบายให้พนักงาน work from home และนั่นก็อาจจะทำให้บางคนมีเวลาว่าง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้เวลาไปกับการเดินทางไปกลับจากที่ทำงานและที่บ้าน การค้นพบตัวตนใหม่ๆ จากการทำกิจกรรมต่างๆ ก็ถือเป็นวิธีที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของเราให้ก้าวผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้เช่นกัน ดังนั้นใครที่มีความสามารถอะไร หรือมีความสนใจที่จะเพิ่มความสามารถในด้านต่างๆ ให้ตัวเอง ก็สามารถทำได้ในช่วงที่มีเวลาว่างจากการทำงาน ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะช่วยให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
4.ส่งต่อพลังบวกกับคนรอบข้าง
เมื่อการเว้นระยะห่างส่งผลให้จิตใจของคนเรารู้สึกเหงาและบางคนถึงขั้นเผชิญกับภาวะซึมเศร้า การส่งต่อพลังบวกให้แก่กันถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนจำเป็นที่จะต้องทำ ดังนั้นในแต่ละวันควรที่จะติดต่อคนรอบข้างผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Video Call เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนและให้กำลังใจกันและกัน เพราะวิธีนี้ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ก้าวผ่านช่วงวิกฤติได้ดีเช่นกัน
5.ปรึกษาจิตแพทย์
ในกรณีที่การใช้ชีวิตในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง เช่น เครียดจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การอยู่ในภาวะซึมเศร้า รวมทั้งการเป็นผู้ที่มีอาการทางจิตเวช จำเป็นที่จะต้องโทรปรึกษาและพูดคุยกับจิตแพทย์ เพราะนี่ถือเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยประคับประคองให้เราสามารถก้าวผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้
แน่นอนว่าแต่ละคนมีความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของแต่ละคนและประสบการณ์ที่มีอยู่ แต่ทั้งนี้ทุกคนสามารถที่จะฟื้นฟูสภาพจิตใจของตัวเองได้เบื้องต้น โดยเริ่มจากการมีสติและติดตามข่าวสารแต่เพียงพอดี เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแพนิก ซึ่งถือเป็นอาการที่สามารถสร้างความวิตกกังวลได้มากกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั่นเอง