เปิด 10 รองเท้าสนีกเกอร์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก
หากคุณคิดว่ารองเท้าส้นสูงคู่สักหมื่นของบรรดาแบรนด์ชั้นนำนั้นแพงแล้ว โปรดคิดใหม่ได้เลย เพราะตอนนี้เทรนด์ของสะสมเกรงกำไร ที่มาแรงไม่แพ้นาฬิกาเรือนหรูก็คือ ‘รองเท้าสนีกเกอร์’ แต่ใช่ว่าทุกคู่สามารถซื้อแล้วราคาพุ่งกระฉูดได้ เพราะถ้าจะขึ้นแท่นเป็นที่ต้องการในท้องตลาดได้ จะต้องประกอบไปด้วยเรื่องราวสุดลึกซึ้ง อาทิ ใช้ในการแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญ หรือผลิตขึ้นสำหรับตัวละครหลักจากภาพยนตร์ดัง และแม้ว่ารองเท้าเหล่านี้จะไม่สามารถสวมใส่เดินเฉิดฉายได้ดั่งคู่อื่นๆ แต่รู้ไว้เป็นเกล็ดข้อมูลก็ไม่เสียหาย เผื่อบางทีคุณอาจจะเบื่อ Bitcoin และลองหันมาลงทุนกับสนีกเกอร์แทน โดยจะมีคู่ไหนและราคาเท่าไหร่ เราได้ลิสต์มาไว้ให้แล้ว
Air Jordan 1 “Michael Jordan’s Game-Worn” ถูกประมูลด้วยราคา $560,000 (ประมาณ 17.4 ล้านบาท)
เปิดลิสต์กันด้วยรองเท้าสุดไอคอนิกอย่าง Nike Air Jordan 1 ที่เพิ่งทำลายสถิติสนีกเกอร์ที่แพงที่สุดบนโลกไปเมื่อปีที่ผ่านมา (หากไม่นับ Air Jordan ที่ผลิตจากทองคำ) โดยรองเท้าคู่นี้ เป็นรองเท้าที่ Nike ผลิตขึ้นให้ Micheal Jordan เพื่อใส่ลงสนามในนามของทีม Chicago Bulls ปี 1985 กับสี OG (Original Colorway) ขาวแดงในตำนาน นอกจากนั้นยังมีลายเซ็น MJ ประทับอยู่บนรองเท้า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้รองเท้าคู่นี้ราคาพุ่งสูงอย่างเหลือเชื่อ นั้นคาดการณ์ว่ามาจากสารคดีชีวประวัติเรื่อง The Last Dance ของค่าย Netflix ที่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อะไรที่เกี่ยวกับ MJ ก็มีราคาขึ้นหมด
Nike Waffle Racing Flat "Moon Shoe” ถูกประมูลด้วยราคา $437,500 (ประมาณ 13.6 ล้านบาท)
ตอนแรกคู่นี้ได้ประมาณการณ์ไว้ว่าจะถูกประมูลด้วยราคา $110,000-$160,000 แต่ด้วยเรื่องราวสุดพิเศษที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ Nike ทำให้คู่นี้ถูกประมูลและกลายเป็นสนีกเกอร์ที่ราคาแพงที่สุด ก่อนถูกโค่นตำแหน่งด้วย Air Jordan 1 ซึ่ง Moon Shoe คู่นี้ได้ถูกผลิตขึ้นในปี 1972 หนึ่งปีหลังจากที่กำเนิดแบรนด์ Nike ภายใต้การออกแบบของผู้ร่วมก่อตั้ง Bill Bowerman โดยถือว่าเป็นนวัตกรรมรุ่นแรกๆที่ถูกคิดค้นเพื่อใช้ในการทดสอบ Olympics Trials ที่ผลิตเพียงจำนวน 12 คู่ และเชื่อว่าคู่นี้เป็นเพียงคู่เดียวที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด
Converse Fastbreak “Michael Jordan’s Game-Worn” ถูกประมูลด้วยราคา $190,373 (ประมาณ 5.9 ล้านบาท)
ก่อนนักบาสเกตบอลคนดังจะผูกปิ่นโตร่วมกับ Nike และถือกำเนิด Air Jordan แต่เชื่อหรือไม่ ว่ายังมีรองเท้าอีกหนึ่งคู่ที่ถูกสวมใส่และคว้าชัยชนะให้กับ Micheal Jordan โดย Converse คู่นี้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการแข่งขันกีฬา Olympics ปี 1984 คู่ชิงระหว่างอเมริกาและสเปน ซึ่งก่อนหน้านั้น MJ ก็สวมใส่ Fastbreak ลงสนามอยู่เสมอ ตั้งแต่สมัยเล่นให้กับทีม University of North Carolina
Air Jordan 12 "Flu-Game" ถูกประมูลด้วยราคา $104,765 (ประมาณ 3.3 ล้านบาท)
อีกคู่ประวัติศาสตร์แห่งวงการกีฬาบาสเกตบอลกับรองเท้ารุ่น Air Jordan 12 ที่ไม่ได้โด่งดังเพียงคว้าชัยชนะแต่อย่างเดียว เพราะในแมตช์นั้น MJ ได้มีอาการไม่สบาย ซึ่งแม้ว่าจะป่วยแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการคว้าชัยมาให้กับทีม Chicago Bulls ด้วยคะแนน 38 แต้ม และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รองเท้าคู่นี้ถูกขนานนามว่า “Flu-Game”
Nike Air Mag Self-Lacing 2016 ถูกประมูลด้วยราคา $104,000 (ประมาณ 3.2 ล้านบาท)
แม้ว่า Nike Air Mags จากภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง Back to the Future 2 จะไม่สามารถผูกเชือกได้อัตโนมัติดั่งที่ปรากฏในภาพยนตร์ อย่างไรก็ตามทาง Nike ก็สามารถสานฝันนวัตกรรมแห่งอนาคตกลายเป็นจริงขึ้นเมื่อปี 2011 จำนวน 1,500 คู่ กับตั้งราคาไว้สูงถึง $3,800 ซึ่งนับว่ายากที่จะครอบครอง แต่ก็ไม่เท่ากับปีโมเดลปี 2016 ที่ได้ผลิตเพียง 89 คู่ ตามจำนวนเดียวกันกับปีที่ภาพยนตร์ออกฉาย พร้อมกับการสุ่มรับสิทธิซื้อจากการซื้อตั๋วออนไลน์
Nike Air Mag “Back to the Future II” 1989 ถูกประมูลด้วยราคา $92,100 (ประมาณ 2.9 ล้านบาท)
จากพลอตเรื่องที่ตัวละคร Marty McFly ได้ข้ามเวลาจากปี 1985 สู่ปี 2015 ซึ่งย้อนกลับไปในปีที่ภาพยนตร์ถูกฉาย รองเท้าผูกเชือกเองอัตโนมัตินับเป็นเรื่องเกิดคาดอย่างมาก แม้จะเป็น Mock Up ไว้สำหรับใช้ในภาพยนตร์ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ทำให้มูลค่าของมันลดลงเลย เพราะอย่างคู่ที่สวมใส่โดย Michael J.Fox มีราคาพุ่งสูง แม้ว่าสภาพดูผุพังตามกาลเวลาก็ตาม แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าที่ประมูลกันอยู่นี้ มีเพียงแค่ข้างเดียวเท่านั้น
Diamond Encrusted Nike Air Force 1 ถูกประมูลด้วยราคา $50,000 (ประมาณ 1.5 ล้านบาท)
‘Diamond is a girl best friend’ อาจใช้ไม่ได้สำหรับเหตุการณ์นี้ โดยรองเท้าคู่นี้เป็นของนักร้องแร็ปเปอร์ Big Boi หรือที่รู้จักกันดีในนามของวง OutKast ได้นำ Nike Air Force 1 ที่แสนธรรมดาไปเพิ่มมูลค่าด้วยการคัสตอมพิเศษจากการประดับเพชรสีแชมเปญขนาด 13 กะรัต จากนั้นจึงค่อยนำไปประมูลหารายได้มอบให้แก่การกุศล
Dior Air Jordan1 เคยถูกรีเซลด้วยราคา $37,506 (ประมาณ 1.1 ล้านบาท)
คู่นี้นับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการลงทุนกับรองเท้าสนีกเกอร์ ที่สามารถสร้างกำไรให้กับคุณได้จริงๆ เพราะนอกจากลวดลายโมโนแกรมที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์หรูประดับแล้ว ยังเป็นผลงานการออกแบบชิ้นสำคัญของ Kim Jones ภายใต้ชายคา Dior Men และด้วยจำนวนที่มีจำกัดเพียง 8,500 คู่ ทำให้ช่วงหนึ่งรองเท้าคู่นี้ได้ถูกปั่นราคาพุ่งไปสูงถึงหลักล้าน จากราคาขายบนหน้าเว็บออนไลน์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Farfecth แม้ว่าในปัจจุบัน Air Dior ราคารีเซลจะลดลงก็ตาม แต่นับว่าเป็นอีกหนึ่งคู่ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งแห่งวัฒนธรรมสตรีทแฟชั่น
Air Jordan 2 OG ถูกประมูลด้วยราคา $31,000 (ประมาณ 1 ล้านบาท)
ดูเผินๆ รองเท้าคู่นี้อาจไม่โดดเด่นเท่ากับคู่อื่น ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายและเน้นความหรูหรากว่ารุ่นแรก พร้อมกับการตราหน้า ‘Made In Italy’ ที่ต้องการเปลี่ยนให้รองเท้าบาสเกตบอลสามารถสวมใส่กับสูทได้อย่างไม่เคอะเขิน ซึ่งแม้ว่าตอนที่รุ่นนี้ได้เผยโฉมในปี 1986 จะไม่มีใครเก็ทกับการเอาโลโก้ Swoosh ออกก็ตาม แต่ผ่านมาในยุคปัจจุบันความแปลกของคู่นี้ ก็กลายเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่นักสะสม
Eminem X Carhartt X Air Jordan 4 Retro ถูกประมูลด้วยราคา $30,100 (ประมาณ 9 แสนบาท)
รองเท้าคู่นี้ได้รับการออกแบบร่วมของนักร้องแร็ปเปอร์ดัง Eminem ซึ่งถ้าหากคิดว่านี้ไม่ธรรมดาแล้ว คิดใหม่ได้เลยเพราะรองเท้าคู่เป็นการคอลแลบระหว่างสองแบรนด์ขวัญใจสายสตรีทอย่าง Carhartt และ Nike โดยสาเหตุที่คู่นี้เป็นการร่วมมือระหว่างหลายเจ้า เพราะเงินที่ได้จากการประมูลจะถูกนำไปมอบให้แก่มูลนิธิ Marshall Mathers foundation นั้นเอง