7 สัญญาณบอกคุณแม่ตั้งครรภ์มีพยาธิในร่างกาย
ต้องเข้าใจกันก่อนว่า พยาธิคือปรสิตชนิดหนึ่งที่มีชีวิตด้วยการอาศัยในร่างกายของคนและสัตว์ สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้จากการดื่มน้ำหรือการกินอาหารที่มีเชื้อพยาธิปะปนอยู่ อีกทั้งพยาธิบางชนิดยังสามารถปะปนอยู่ในอากาศ จึงสามารถเดินทางเข้าสู่ร่างกายได้ทางลมหายใจ ซึ่งในกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหมั่นสังเกตอาการของตัวเองในระหว่างตั้งครรภ์ ที่อาจสงสัยว่าเป็นพยาธิ ซึ่งสามารถสังเกตอาการได้ด้วยตัวเองดังนี้
1.หิวบ่อยกว่าปกติ
โดยปกติของคนท้องมักจะมีอาการหิวบ่อยอยู่แต่เดิมแล้ว ซึ่งหากมีอาการหิวบ่อยกว่าปกติ หรือบ่อยจนผิดสังเกต ให้สันนิษฐานก่อนเลยว่า อาจเป็นอาการของพยาธิในคนท้อง
2.อ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียที่เกิดจากการเป็นพยาธิในคนท้อง จะมีความคล้ายกับอาการอ่อนเพลียของคนท้องทั่วไป ซึ่งจะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือหิวบ่อยร่วมอยู่ด้วย
3.ปวดท้อง
หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการปวดท้องจี๊ดๆ ไม่รุนแรง แล้วมีอาการท้องเสียตามมา นั่นอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนให้รู้ว่า คุณแม่ตั้งครรภ์อาจมีพยาธิอยู่ในร่างกายก็เป็นไปได้
4.มีรอยจ้ำบนผิวหนัง
ในขณะตั้งครรภ์ หากคุณแม่สงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคพยาธิในคนท้องหรือไม่ ให้ลองสังเกตหรือสำรวจผิวหนังของตัวเองบ่อยๆ ว่ามีรอยจ้ำแดงๆ หรือไม่ หากมีต้องแน่ใจว่าไม่ได้เกิดจากการกระทบหรือกระแทกกับของแข็งใดๆ เพราะหนึ่งในสัญญาณของพยาธิในคนท้องก็คือ มีรอยจ้ำบนผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณต้นขาลามลงไปถึงเท้า
5.คันยิบๆ บริเวณรอบทวารหนัก
หากคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ได้กินอาหารแสลง เช่น ของดอง ปลาร้า หรือหน่อไม้ แต่กลับมีอาการคันยิบๆ ที่บริเวณรอบทวารหนักหรือบริเวณช่องคลอด อาจเป็นไปได้ว่าพยาธิกำลังไชบริเวณดังกล่าวอยู่
6.น้ำหนักลด
การสังเกตน้ำหนักที่ลดลงอย่างผิดปกติ จะทำให้คุณแม่สงสัยว่าตัวเองอาจจะกำลังเสี่ยงเป็นโรคพยาธิในคนท้อง เพราะโดยปกติแล้วคนท้องจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในระหว่างตั้งครรภ์จะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดหัว หรือปวดท้อง ก็ไม่ได้ส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนเป็นโรคพยาธิ
7.พยาธิปะปนมากับอุจจาระ
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์สังเกตเห็นพยาธิปะปนมากับอุจจาระ นั่นแสดงว่าพยาธิได้มีการฟักตัวแล้ว และทำให้มั่นใจได้ว่าคุณแม่กำลังเป็นโรคพยาธิในคนท้อง
สัญญาณเตือนเหล่านี้ อาจช่วยให้คุณแม่ทันสังเกตอาการของตัวเองได้ว่า เสี่ยงต่อการเป็นโรคพยาธิในคนท้องหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นก็คือ การพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเสี่ยงต่อการเป็นโรคพยาธิย่อมดีที่สุด ซึ่งทำได้ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องความสะอาด ทั้งในส่วนของอาหารการกิน เสื้อผ้า สภาพแวดล้อม รวมทั้งการไม่สัมผัสส่วนที่เป็นแหล่งของไข่พยาธิ เช่น ฝาชักโครก อ่างล้างหน้า ลูกบิดประตูห้องน้ำ รวมทั้งถังขยะ