5 เคล็ดลับดูแลเด็กความดันโลหิตต่ำ เรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ความดันโลหิตต่ำในเด็ก เป็นโรคที่อันตรายและมีอาการที่น่ากังวล เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด ไม่สบายท้อง อาเจียน รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ รู้สึกอ่อนแอ มึนงง เหนื่อยล้า สายตาพร่ามัว หายใจเร็ว และร่างกายเย็นชืด วันนี้เราจึงอยากชวนพ่อแม่ทุกท่านมารู้ถึงเคล็ดลับในการดูแลเด็กที่มีความดันโลหิตต่ำกันค่ะ เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามได้เลย
1.กินอาหารที่มีโซเดียม
อาหารที่มีโซเดียมมีส่วนช่วยรักษาความดันโลหิตได้ดี เช่น ชีส เนื้อหมัก ขนมปัง ของว่างรสเผ็ด เป็นต้น แต่ก็ควรให้กินในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อร่างกายตามมา แต่ทั้งนี้พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับลูกที่มีความดันโลหิตต่ำก่อนย่อมดีที่สุด
2.กินอาหารที่ช่วยในเรื่องความดันโลหิต
ในส่วนของอาหารที่มีส่วนช่วยในเรื่องความดันโลหิตได้แก่ ผัก ผลไม้ และถั่ว ซึ่งอาหารเหล่านี้จัดเป็นสุดยอดอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และกรดโฟลิก ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในเรื่องความดันโลหิตได้เป็นอย่างดี
3.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
โดยปกติคนเราควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เช่นเดียวกับเด็กที่มีความดันโลหิตต่ำ พ่อแม่ควรให้ดื่มน้ำอย่างน้อยให้ได้ 8 แก้วต่อวัน หรือให้ดื่มมากกว่านั้นหากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อนอบอ้าว เพราะการดื่มน้ำให้มากพอต่อความต้องการของร่างกาย จะสามารถป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำได้
4.ออกแรงแต่พอดี
สำหรับเด็กที่มีความดันโลหิตต่ำ พ่อแม่ควรระมัดระวังการทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากเกินไป โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในช่วงวัยกำลังซน มักจะวิ่งเล่นด้วยความเร็ว หรือมักจะเล่นกลางแจ้งเป็นเวลานาน ซึ่งการทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากเกินไปและอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานจะส่งผลต่อความดันโลหิตของเด็กๆ ได้สูง
5.ดูแลให้เติบโตตามเกณฑ์
แน่นอนว่าการดูแลเด็กๆ ให้เติบโตตามเกณฑ์จะช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องน้ำหนัก ควรให้เด็กมีน้ำหนักที่เหมาะสมกับวัยของเขา เพราะเมื่อใดที่น้ำหนักน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเด็กมีน้ำหนักที่มากเกินไป ก็จะส่งผลให้เกิดหลากหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน หรือโรคเบาหวานในเด็ก เป็นต้น
พ่อแม่ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า โรคความดันโลหิตต่ำในเด็กนั้น ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวของเด็กๆ อย่างมาก อีกทั้งอาการของโรคชนิดนี้ยังแสดงออกมาคล้ายกับอาการทั่วไปที่มักพบในเด็ก ดังนั้นเมื่อเกิดอาการใดๆ กับเด็กก็ตาม พ่อแม่ควรรีบพาไปหาหมอ เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาต่อไป อย่าได้ชะล่าใจเพียงเพราะเข้าใจไปเองว่าอาการที่เห็นนั้นเป็นเพียงอาการปกติทั่วไป