ลดน้ำหนักกี่ครั้งด้วยชีวจิต ก็เอาอยู่
“พัชรินทร์ ภู่ประดิษฐ์ หรือเรียกขวัญก็ได้ค่ะ เห็นสวย ใส สลิมอย่างนี้ ถ้าไม่บอกคงไม่รู้ใช่ไหมล่ะว่า เคยหนักถึง 57 กิโล(กรัม)
“มาดูกันว่าฉันลดน้ำหนักไป 12 กิโล(กรัม) ภายใน 6 เดือนได้อย่างไร ไม่ได้จะโฆษณาขายของนะคะ แต่ของเขาดีจริง ไม่เชื่อลองดูสิคะ”
คุณขวัญ อายุ 35 ปี ทำงานด้านการเงินที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มา 7 ปีแล้ว ด้วยความที่เป็นคนร่างอวบ เมื่อมามีพฤติกรรมการทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่กับโต๊ะนานๆ ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย แถมยังชอบกินตามใจปาก น้ำหนักตัวมากขึ้นจึงกลายเป็นปัญหา
“เมื่อทำงานใหม่ๆ ได้สักประมาณปีครึ่ง เริ่มมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว และอาการกรดไหลย้อนขั้นรุนแรงมาก ทำให้ตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ซึ่งศัพท์แพทย์เรียกว่า หายใจไม่เต็ม เราตกใจมาก เป็นอยู่อย่างนี้บ่อยครั้ง จนต้องไปหาหมอ”
ชีวจิตคือทางออก
“โชคดีที่ตอนนั้นมีการจัดคอร์สชีวจิตรุ่นที่ 53พอดี เลยไปเข้าคอร์ส และยังดีใจมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะได้เรียนรู้วิชาจากอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง (กูรูต้นตำรับชีวจิต-ผู้เขียน)หลายอย่าง ทำให้ภายในช่วงเวลา 3 วัน น้ำหนักก็ลดลงถึง 3 กิโล(กรัม)
“นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เรามีความหวังกับการลดน้ำหนัก แล้วในช่วงนั้น รู้สึกว่าอาการกรดไหลย้อนดีขึ้น สบายตัว สุขภาพก็แข็งแรงขึ้นด้วย จึงได้ดำเนินตามแนวทางชีวจิตเรื่อยมา”
หลังจากที่ปฏิบัติตามแนวทางชีวจิตมาได้ 6 เดือน โดยศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือทุกเล่มที่อาจารย์เขียน คุณขวัญสามารถลดน้ำหนักจาก 57 กิโลกรัม เหลือ 45 กิโลกรัม ส่วนสุขภาพร่างกายก็สมบูรณ์ดีทุกอย่าง
แต่แล้วเมื่อต้องเจองานหนักอีก ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับคุณขวัญที่จะใช้ชีวิตแบบชีวจิตได้เต็มที่ เหมือนตอนอยู่ในคอร์ส น้ำหนักตัวจึงค่อยๆกลับมาอีกราวกับฝันร้าย
“ตอนนั้น เราคิดว่าเรื่องงานต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง จึงเริ่มละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพ ไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องการกินอาหาร และการออกกำลังกาย ภายใน 3 -4 ปี น้ำหนักจึงค่อยๆกลับมาเท่าเดิม”
คราวนี้ นอกจากโรคกรดไหลย้อนที่กลับมากำเริบตอนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ยังมีอาการอื่นร่วมด้วย คือ ปวดต้นคอขึ้นไปจนถึงขมับ มือเย็น ใจหวิวคล้ายจะเป็นลม เมื่อไปหาหมอ หมอก็วิเคราะห์ไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร กินยาก็ไม่หาย ต้องฉีดยาแล้วนอนพักที่โรงพยาบาล เมื่อป่วยบ่อยๆเข้า คุณพ่อก็เริ่มเป็นห่วง คุณขวัญจึงตัดสินใจปฎิวัติตัวเองเพื่อทำให้รูปร่างสมส่วนอย่างจริงจัง
“ตัดสินใจเข้าโครงการลดน้ำหนักของบริษัท โดยตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ เพื่อมีสุขภาพแข็งแรงให้พ่อเห็น เราจะไม่ป่วยให้เขาไม่สบายใจอีก”
หลังจากเข้าโครงการฯ นาน 3 เดือน ควบคู่ไปกับการปฏิบัติตัวตามแนวทางชีวจิตอย่างจริงจัง น้ำหนักคุณขวัญลดลงเหลือ 46-47 กิโลกรัมอีกครั้ง พร้อมๆกับที่อาการเจ็บป่วยต่างๆก็หายสนิท เธอจึงเหมือนถูกรางวัลสองต่อ คือ ชนะเลิศในโครงการฯและมีร่างกายที่แข็งแรงยิ่งกว่าเดิม
“ตอนนี้ร่างกายฟิตมาก โดยดูจากบางเวลาที่ต้องทำงานหนักมากเป็นพิเศษ เพื่อนๆบางคนป่วย แต่เราไม่เป็นอะไรเลย เลยรู้สึกว่า การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ดี” คุณขวัญเล่า พลางยิ้มอย่างสดใส
ลดน้ำหนักสไตล์สาวขวัญ
แม้ว่าคุณขวัญจะลดน้ำหนักครั้งแรกด้วยความยากลำบากกว่าครั้งแรก เพราะอายุที่มากขึ้น แต่เธอมีเคล็ดลับ คือได้นำแนวทางชีวจิตของอาจารย์สาทิสและความรู้ที่ได้จากโครงการลดน้ำหนัก มาประยุกต์ใช้กับตัวเธอเอง
“สิ่งหนึ่งที่อาจารย์สาทิสเคยบอกแล้วไม่เคยลืมเลย ก็คือ ไม่ใช่หลักการทุกอย่างจะเหมาะกับเราทั้งหมด ชีวจิตก็เช่นกัน จึงให้ลองทำกับตัวเองก่อน แล้วเลือกเก็บสิ่งที่เหมาะมาใช้
“วิธีลดน้ำหนักของเรา คือ ก่อนอื่นต้องทำให้ตัวเราเชื่อว่ากำลังไม่สบายอยู่ โดยสมมติว่าเป็นคนไข้ โคม่าแล้ว จะทำให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมากขึ้น สิ่งที่ต้องทำคือ กินอาหาร ออกกำลังกาย ดื่มน้ำ และพักผ่อน ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติทั่วไปของคนที่จะลดน้ำหนักเลย”
กินลดน้ำหนัก
ส่วนเรื่องอาหาร คุณขวัญยึดแนวทางชีวจิต เพราะเคยลองมาแล้ว และได้ผล โดยเธอจะเพิ่มเรื่องการดูปริมาณแคลอรี่เข้าไปด้วย
“การควบคุมอาหาร เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนัก เพราะเป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเลือกกินถูกต้อง จะช่วยให้การลดน้ำหนักในขั้นต่อไปเหนื่อยน้อยลง”
คุณขวัญจะระวังไม่ให้ได้พลังงานเกินวันละ 1,000 กิโลแคลอรี่ ในกรณีที่ไม่ได้ออกกำลังกายหนัก และจะกินผลไม้หรืออาหารแคลอรี่ต่ำเป็นมื้อว่าง เพราะเธอบอกว่าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองหิว
“ตั้งแต่ลดน้ำหนักมา ไม่เคยหิวเลย เพราะกินครบทุกมื้ออย่างถูกวิธี กินแป้งทุกมื้อ เพียงแต่มื้อเย็นจะเน้นผัก และผลไม้มากกว่า การพยายามกินอาหารอย่างถูกต้อง เราก็จะสบายตัว สบายใจ ไม่รู้สึกทรมานเวลาลดน้ำหนักเลย”
เธอยังบอกอีกว่า คนมักจะเข้าใจผิดว่า ลดความอ้วนต้องงดแป้ง งดมื้อเย็นซึ่งไม่ใช่เลย
นอกจากนี้ คุณขวัญกินอาหารแบบชีวจิต คือ กินข้าวกล้อง ปลา ทุกมื้อต้องมีผักเป็นส่วนประกอบ ถ้าเป็นของทอด ต้องเลือกที่ทอดด้วยน้ำมันที่ปลอดภัย แต่ถ้าโอกาสไม่เอื้ออำนวย เธอจะเลือกอาหารแคลอรี่ต่ำที่สุด หรือถ้ากินมื้อใดมื้อหนึ่งหนักเกินไป จะต้องไปออกกำลังกาย
คุณขวัญยังให้เคล็ดลับแก่สาวออฟฟิศที่จะปฏิบัติตามแนวทางชีวจิตและคนที่กำลังลดความอ้วนอยู่ว่า
“คนที่กำลังลดน้ำหนักแล้วกลัวว่าจะกินนั่นได้ไหมกินนี่ได้ไหม อยากให้ลดความกังวลเรื่องนี้ลงไป ในชีวิตสาวออฟฟิศแบบเรา อาจต้องมีข้อยกเว้นบ้าง แต่ไม่ใช่ว่ากินเต็มที่ตลอดทุกวัน เรายังมีความสุขกับอาหารได้ เพียงแต่กินอย่างมีสติมากขึ้นเท่านั้น”
คุมน้ำหนักด้วยออกกำลังกาย
คุณขวัญบอก เธอเพิ่งได้เรียนรู้เรื่องการออกกำลังกายให้มีประสิทธิภาพและถูกวิธีจากเทรนเนอร์ในโครงการลดน้ำหนักของ “เทรนเนอร์แนะนำว่า ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ต้องออกกำลังกายที่ไม่หนักมาก แต่ใช้เวลานาน เช่น วิ่งในระยะที่ไม่ทำให้เหนื่อยหอบ แต่วิ่งนานหน่อย สักหนึ่งชั่วโมง”
นอกจากนี้ คุณขวัญยังได้เรียนรู้ท่ากายบริหารหลายท่า ช่วยให้ออกกำลังกายได้ต่อเนื่องแม้ว่าฝนจะตก เช่น โยคะที่เคยไม่ชอบ เมื่อได้ลองฝึก ทำให้รู้ว่าช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ และลดน้ำหนักได้ดีมาก
คุณขวัญบอกว่า เดี๋ยวนี้เธอมีความสุขทุกครั้งที่ออกกำลังกาย เพราะทำให้รู้สึกดี ถือเป็นกิจกรรมที่ต้องทำทุกวัน โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกที่ลดน้ำหนัก
หลังจบโครงการฯแล้ว เธอจะออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วัน โดยจะวิ่งสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้ามีเวลาจะฝึกโยคะเพื่อยืดกล้ามเนื้ออีกครึ่งชั่วโมง ส่วนอีก 2 วันที่เหลือเธอยังฝึกโยคะที่บริษัทจัดให้
คุณขวัญฝากถึงสาวออฟฟิศที่ทำงานยุ่งจนละเลยการดูแลสุขภาพว่า
“การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงต้องจัดตารางเวลาในชีวิตตนเองให้ได้ อย่าเอาเรื่องงานมาเป็นอุปสรรคในการออกกำลังกาย เราต้องทำให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้ เหมือนการกินข้าว แม้ว่าเราจะช้าไปหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องกิน”
ดื่มน้ำคืนสมดุล
การดื่มน้ำเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณขวัญให้ความสำคัญมาก เพราะ ในช่วงที่ลดน้ำหนัก เธอออกกำลังกายหนักมาก ทำให้เสียเหงื่อมาก จนเหมือนมีภาวะขาดน้ำ รู้สึกคอแห้ง เมื่อไปปรึกษาเทรนเนอร์จึงได้ทราบว่า ในระหว่างวันเธอดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทางที่ดีควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นไว้ก่อน
ส่วนปริมาณที่ควรดื่ม คุณขวัญบอกว่า ตอนแรก เธอสับสนมากว่าควรดื่มวันละเท่าไร เพราะ บางตำราบอกว่า 8 แก้ว บางตำราก็ว่า ให้ดื่ม 1 ลิตรต่อน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัม แต่แล้วเธอระลึกถึงคำพูดของอาจารย์สาทิสที่ว่า ให้ลองเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมาปฏิบัติ
เธอจึงทดลองกับตัวเอง โดยเริ่มจากดื่มน้ำวันละลิตรครึ่ง ทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้น เมื่อออกกำลังกายก็ไม่มีภาวะขาดน้ำ จึงทดลองเพิ่มปริมาณน้ำอีกเป็น 2 ลิตร ก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้น สุดท้ายจึงรู้ว่าปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับร่างกายเธอ คือ 1 ลิตรครึ่งถึง 3 ลิตร และได้ข้อสรุปว่าปริมาณน้ำที่ควรดื่มนั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว และกิจวัตรประจำวันของแต่ละคน
นอกจากนี้ ผลจากที่เธอปรับเรื่องการดื่มน้ำ ทำให้ปัญหาการเผาผลาญต่ำที่เคยเป็นหมดไปด้วย
พัก-ผ่อนทั้งกายใจ
ในคอร์สชีวจิตรุ่น 53 คุณขวัญได้เรียนรู้การฝึกคลายเครียด คลายเกร็งจากอาจารย์สาทิสซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายและจิตใจก่อนเข้านอน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอจะนอนหงายบนพื้นราบ กางแขนขา ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนพื้น ทำจิตใจให้ว่าง ไม่คิดอะไร กำมือซ้ายให้แน่นจนมือสั่น นับ 1- 10 แล้วคลาย แล้วเปลี่ยนเป็นข้างขวา
จากนั้นคลายเกร็งที่ขา โดยเหยียดปลายเท้าซ้าย เกร็งขาซ้ายจนสั่น นับ1-10 แล้วคลายนับเป็น1 ครั้ง ทํา 3 ครั้ง แล้วเปลี่ยนเป็นข้างขวา
ส่วนคอ ผงกศีรษะให้คางจรดอก(เกร็งเฉพาะส่วนคอ) หมุนคอจากซ้ายไปขวาและหมุนกลับขวาไปซ้าย นับเป็น1ครั้ง ทําซ้ำ 3 ครั้ง
แล้วคลายเกร็งที่ท้อง โดยหายใจยาวถึงสะดือกลั้นหายใจและแขม่วท้องนับ1-5 ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ นับเป็น 1 ครั้ง ทํา 3 ครั้ง จากนั้นหายใจปกติ
ถ้าวันไหนเครียดจะอาบน้ำอุ่นก่อน แล้วจึงฝึกคลายเครียด คลายเกร็ง เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนผ่อนคลาย ช่วยให้เธอหลับลึก ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น มีพลังทำงานได้เต็มที่ แม้ว่าจะนอนเพียง 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น
แม้ว่าตอนนี้คุณขวัญได้บรรลุเป้าหมายที่เธอตั้งใจ คือ สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 10 กิโลกรัม โดยที่ยังคงสดใส แข็งแรง และมีความสุข แต่เธอแอบบอกว่า ยังตั้งเป้าว่าอยากจะลดลงให้ได้ ถึง 43 กิโลกรัมในปลายปีนี้
สุดท้าย คุณขวัญได้กล่าวทิ้งท้ายไว้เป็นข้อคิดว่า
“เวลาจะทำอะไร ควรดูก่อนว่าเหมาะกับตัวเราไหม และทำแล้วมีความสุขไหม แล้วจึงทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่”
เธอจึงมีความสุขและภาคภูมิใจ เพราะผลสำเร็จนั้นเกิดจากความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของเธอเอง
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.photos.com/