ทำความรู้จักกับ คุณช่า...บันทึกของตุ๊ด
ในโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์คนาทีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักกับ ‘คุณช่า...บันทึกของตุ๊ด’ จริงไหมคะ ด้วยความที่เป็นแฟนเพจที่มีความต่างจากรายอื่นๆตรงที่เนื้อหาของเพจในแต่ละเรื่องที่คุณช่าเล่านั้น มีความยาวจนเกินคำพูดของใครหลายๆคนที่ว่า “ในโลกออนไลน์คนมักชอบอ่านอะไรสั้นๆ” แต่เพจบันทึกของตุ๊ดกลับสร้างปรากฏการณ์ที่ว่าคนมักชอบอ่านอะไรยาวๆจากเหตุนี้ เพราะอะไรและทำไม วันนี้ R.J พาชิคสเตอร์มาไขคำตอบไปพร้อมๆกันค่ะ
R.J มีนัดกับคุณช่าที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านพระราม 9 หน้าร้านอาหารปรากฏร่างของชายหนุ่มผิวขาว เสื้อโปโลสีดำตัดกับผิวขาวๆและ...ผมสีขาว...เด่นเป็นสง่า เราทั้งคู่อยู่ในร้านอาหาร...และดำเนินการสั่ง...ไอศกรีม…ตามมารยาทที่ไม่อยากทานของหนักแต่อยากจะใช้สถานที่ และการสนทนาก็เริ่มขึ้น
อัพเดทการทำงานของคุณช่า
“เป็นกราฟฟิกดีไซน์ค่ะ อยู่บริษัทที่ทำ User Interface ให้กับ Iphone Ipad ค่ะ ก็ไม่มีอะไรมากมาย แล้วก็เขียนหนังสือทั่วไป เขียนเพจปกติค่ะ”
ที่มาที่ไปของ Fanpage “บันทึกของตุ๊ด”
“แรกเริ่มตั้งแต่ช่วงน้ำท่วม บ้านอยู่บางแค แล้วน้ำจะท่วมหลังๆ ในกรุงเทพฯ มันจะเริ่มตั้งแต่อยุธยามาปทุมไล่เข้าเมืองมาเรื่อยๆ กว่าจะถึงบางแคมันก็นาน ระหว่างที่เรารอน้ำเราก็รู้ข่าวสาร ที่นั่นที่นี่ท่วมแล้ว แล้วเรายังไม่ท่วมมันก็เครียด เครียดกว่าคนท่วมแล้ว คนท่วมจะรู้ว่าบ้านเรากันไม่ได้เราก็ย้ายออก บ้านเรากันไหวเราก็อยู่ บ้านเราอาหารพอไหม กระสอบทรายหน้าบ้านพอหรือเปล่า เขาก็รู้ แต่คนที่ยังไม่ท่วม มันต้องลุ้นว่าที่เราตั้งไว้หน้าบ้าน อาหารที่ตุนไว้ จะพอหรือเปล่า ก็เกิดอารมณ์อยากระบาย ก็ระบายเข้า Facebook เขียนเป็น Diary ก่อน ตอนแรกมีอีกเพจหนึ่ง ชื่อว่า ‘มั่นใจว่าคนไทย 1 ล้านคน เป็นตุ๊ด’ นั่นก็เพจเราเหมือนกัน ตอนนี้ไม่ได้เป็นแอดมินอยู่ที่นั่นละ ตอนนั้นมี 4 คน เราเป็นหนึ่งในนั้น เราก็อัพลงตรงนั้น แล้วก็มีคนชอบ คนก็แชร์ลงพันทิป เป็นกระทู้แนะนำ ก็เลยเปิดอีกเพจหนึ่งเป็น ‘บันทึกของตุ๊ด’ ตอนแรกก็อัพแต่เรื่องน้ำท่วม จนน้ำมา อพยพ เราต้องอยู่กับมันยังไง เราอพยพตอนไหน กลับมาแล้วสภาพบ้านเป็นยังไง เสร็จแล้วก็เงียบไปพักใหญ่ๆ หายไปเกือบปีสองปี ก็คืออัพสเตตัสนิดๆหน่อยๆ ขำๆ จนวันหนึ่งเรารู้สึกว่าชีวิตเรามันก็มีมุมอื่นที่แบบว่ามันก็น่าสนใจ น่าสนุกดี ตอนแรกเกือบตั้งชื่อเพจว่า ‘บันทึกของกะเทยกลัวน้ำ’ ถ้าตั้งอย่างนั้นมันจะฟิกซ์มากเลยนะ ก็จะอยู่แค่นั้น ชื่อเพจบันทึกของตุ๊ดดีกว่ามันคือบันทึกของเรา ที่จะเล่าอะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งที่น่าสนใจในชีวิตเรา เริ่มจากตอนแรกเล่าสั้นๆก่อน คนชอบ ลองแบบเต็มที่ไปเลย ยาวมาก(ลากเสียงว่ายาวจริง) ยาวมากจริงๆเหมือนทุกวันนี้ คนก็อ่านคนก็แชร์ คนก็ไลค์ ก็รู้สึกว่าคนไทยก็อ่านหนังสือ ถ้าหนังสือนั้นคนชอบอ่าน เขาก็จะอ่าน จนถึงวันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนไทยไม่ได้อ่านน้อย แต่คือเขาอ่านเรื่องที่เขาอยากอ่าน ไม่ว่าจะยาวแค่ไหนเขาก็อยากอ่าน”
ไอศกรีมทยอยมาเสิร์ฟ...ขออนุญาตชิคสเตอร์ทานไปคุยไปเพื่อไอศกรีมจะได้ไม่ละลายไปต่อหน้าต่อตา
เสน่ห์ที่ทำให้คนเข้ามาอ่านเพจ “บันทึกของตุ๊ด”
“ภาษา เพราะภาษามันเข้าถึงง่าย อ่านแล้วมันลื่นเราคิดว่านะ จริงๆเราเป็นคนที่ไม่ได้เรียนอักษร ไม่ได้เกี่ยวกับการเรียนใช้ภาษาอะไรเลย แต่เราเป็นคนชอบเขียนอะไรมาตั้งแต่เด็ก ประมาณม.ต้นเราก็เขียนนิยายส่งประกวดแล้ว เอาตั้งแต่ป.3 ป.4 เลยดีกว่าก็เริ่มเขียนการ์ตูนแล้ว เขียนการ์ตูนเป็นช่องๆ เอาตัวละครเป็นเพื่อนในชั้น คล้ายโดเรม่อนเป็นตอนยาวๆ เป็นคนชอบเขียนจนรู้สึกว่ามันถนัดมาก เป็นอะไรที่แฮปปี้”
การเขียน Content ในเพจบันทึกของตุ๊ดที่หลายคนอาจไม่รู้
“เวลาเขียนอย่างอุทาหรณ์สอนใจ ถ้ามันมาแล้วนะ เราจะเขียนตอนที่เดินอยู่บนลู่วิ่งตอนเช้าๆ พิมพ์ใส่ไอโฟน ทุกเรื่องคือใส่ไอโฟนหมดเลย พิมพ์คอมฯไม่ได้ด้วยนะ พิมพ์คอมฯไม่ใช่ แล้วพิมพ์ผิดเยอะด้วย พอพิมพ์เข้าไอโฟน เดินไปด้วยพิมพ์ไปด้วย เป็นแบบนี้ทุกเรื่อง ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ จะเดินตอนเช้า 40 นาที ก็จะพิมพ์เสร็จพอดี พอพิมพ์เสร็จ ระหว่างวันก็อ่านทวน อ่านประมาณ 3-4 รอบ ตอนเย็นก็อัพ”
เรื่องที่คิดว่าเขียนยากที่สุด
“มันมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ไปบางแสนกับเพื่อน เป็นวิธีการเขียนที่ไม่เคย แต่อยากทำมากคือเขียนประกอบเพลง จะทำยังไงให้เพลงกับคนฟังเพลง แล้วก็คนอ่านฟังไปด้วยแล้วก็ถึงท่อนนี้พอดี เขียนอยู่ 2 วัน ยากมาก คือเขียนปุ๊บต้องฟังเพลงไปด้วย แล้วก็พิมพ์ แล้วก็กลับมาอ่านอีกรอบว่าอ่านถึงตรงนี้เนื้อมันพอดีหรือเปล่า แล้วในที่สุดโอเคมันอาจไม่พอดี มันอาจจะก้ำกึ่งบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่าถึงตรงนี้พอดี มันโอเค กับอีกเรื่องคือไปขอนแก่น ตอนนั้นยากมากเพราะมีภาษาอีสาน ก็ต้องหาคนแปลอีกคนหนึ่ง ถ้าเรื่องง่ายๆปกติจะเขียนประมาณ 40 นาที แต่อย่างเรื่องนี้เขียนเช้าก็ไม่เสร็จ กลางวันมานั่งพิมพ์ต่อก็ไม่เสร็จ ตอนเย็นก็ไม่เสร็จสักที ปกติจะมีเวลาโพสต์ คือทุ่มสี่สิบ ถึงสองทุ่ม จะถึงเวลาโพสต์ก็ยังไม่เสร็จสักที เราก็แบบทำไงดียังไม่ได้อ่านทวน แต่ก็คืออ่านมาเรื่อยๆทั้งวันอยู่แล้ว ก็โพสต์ไปเลย”
แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
“มีเป้าหมายชีวิตในแต่ละปี อย่างปี 2013 อยากได้คอนโด ก็ฟินแล้ว ได้ตามเป้า เหนื่อยไหม เหนื่อยมาก แต่มันคือแรงผลักดัน พอเสร็จเรื่องคอนโด ต่อไปต้องซื้อบ้านให้ยาย คนเรายากที่สุดคือการหาเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายจะทำให้เรารู้ว่าการใช้ชีวิตในแต่ละวันเราต้องทำยังไง ทำอะไร”
เคล็ดลับการค้นหาตัวเอง
“เข้าใจนะบางทีคนเราทำงานประจำทุกวัน คนก็จะบอกว่าทำทำไม ทำไมไม่ออกไปตามหาความฝัน แต่การดำเนินชีวิตมันต้องใช้เงินหรือเปล่า พี่เชื่อว่าคนที่ทำงานประจำประมาณร้อยละ 40-50 ไม่ใช่งานที่ชอบ แต่ต้องทำ มันจำเป็น เพราะว่ามันมีความมั่นคงกว่า มันยังมีเงินเดือน ถ้าไม่ได้เกิดมาบ้านรวยขนาดนั้น ไม่สามารถหาอิสระในการหาความฝันได้ คือฝันมันก็ควรตามหาความฝัน แต่มันก็ควรทำตามสเต็ปของมัน ตอนนี้เราอาจจะทำงานกินเงินเดือนไปก่อน ค่อยๆเก็บเงินเพื่อจะเปิดธุรกิจ ทำสิ่งที่อยากทำ ต้องเริ่มจากเล็กๆ ก้าวกระโดดดีไหม ก็ดีแต่ว่าเสี่ยง เสี่ยงจะตก จะกระโดดไม่พ้นก็มี ทำตามความฝันได้ มีเป้าหมายไว้ดี ยิ่งสูงยิ่งดี แต่การจะไปมันต้องระวังตัวระหว่างทางด้วย ทำอะไรต้องมีแผนก่อน แผน A ไม่ได้ต้องมีแผน B แผน C”
พักจากโหมดสาระเน้นๆ ไปพร้อมๆ กับไอศกรีมที่หายวับไปเรียบร้อยทั้ง 2 ถ้วย จากนั้นบทสนทนาก็ดำเนินมาถึงเรื่องราวของศัลยกรรมที่จะไม่มีเลยก็คงจะไม่ใช่
ฝากถึงคนที่หน้าตาไม่ได้แย่ ปานกลาง แต่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และไม่กล้าทำศัลยกรรม
“จริงๆ แล้วคนเรามีปัจจัยหลายอย่างในการที่จะดูดีขึ้นมา การแต่งหน้า ผม ผิวพรรณ หรือว่าบุคลิก ถ้าเราไม่อยากทำศัลยกรรมก็หาจุดเด่นให้ตัวเอง บางคนแต่งหน้าเป็นก็รอดแล้ว หลายคนรอดเลย แล้วทุกวันนี้การแต่งหน้ามีกูรูเยอะ ก็เข้าไปศึกษาได้ จริงๆบางคนหน้าแย่แต่มีสไตล์เป็นของตัวเอง เขาก็เด่นขึ้นได้เลยนะ ดั้งโด่งไม่ใช่ทุกสิ่ง การทำตาคมไม่ใช่ทุกอย่าง การทำศัลยกรรมถ้าเรามีเงินมันก็ไม่เดือดร้อนใคร เราสามารถทำได้ถ้าเราทำแล้วมั่นใจ”
เหตุผลที่คุณช่าเปิดเผยเรื่องของการทำศัลยกรรมบนใบหน้าของตัวเอง
ไม่เข้าใจคนที่ไม่บอกดีกว่า ทำไมถึงหน้าเปลี่ยนขนาดนั้น แล้วบอกไม่ได้ทำศัลยกรรม เราเป็นคนทำศึกษาข้อมูลแล้วรู้ว่าใครทำไม่ทำ เห็นอยู่ว่ามันทำ แล้วคนที่ทำมาบอกไม่ทำ นั่นแหละงงปิดเพื่ออะไร ถ้าเป็นดาราแล้วทำไม่อยากให้ใครรู้ยังพอมีเหตุผล แต่คนทั่วไปอยู่ดีๆดั้งไม่ได้โด่งแล้วมาโด่งมันเป็นไปไม่ได้ การที่มาบอกว่าทำมันเป็นวิทยาทาน ทำไมล่ะ เราประสบความสำเร็จในการทำศัลยกรรม เราก็บอกคนอื่นที่เขาอยากทำ หน้าเราแน่นขนาดนี้ทำไมจะไม่รู้ มีคนถามว่าทำที่ไหน เราก็บอกข้อมูลตามความเป็นจริง ดีกว่าให้คนที่อยากทำไปหาที่ที่อันตรายทำ คือสมัยนี้ถ้าได้หมอไม่ดีหน้าเราช้ำไปตลอดชีวิตเลยนะ สงสารมาก เราบอกข้อมูลจริงๆของเราไปดีกว่า จะได้ไปหาหมอที่เชื่อถือได้หมอท่าเราไว้ใจ”
เสร็จสิ้นการสนทนา และเช็คบิลเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่คุณช่ากำลังจะเดินออกจากร้าน หนุ่มสาวนักศึกษาโต๊ะติดกันลุกขึ้นมาขวางหน้าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“นี่พี่ช่าใช่ไหมครับ เพื่อนๆ ในคณะชอบพี่ช่ามากเลยครับ”